วันนี้ (31 สิงหาคม) ที่กองคดีความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร พร้อมผู้ต้องหารวม 4 ราย ประกอบด้วย บุญแทน บุษราคำ, ธนเสฏฐ์ หรือ ไพฑูรย์ แช่มเทศ และ กฤษณพงษ์ จิตต์เทศ ในคดีฆาตกรรม พอละจี รักจงเจริญ หรือ บิลลี่ แกนนำชุมชนกะเหรี่ยงบ้านโป่งลึก-บางกลอย อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี เข้าพบคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษเพื่อรับทราบข้อหาเพิ่มเติม ภายหลังพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษ ส่งหนังสือแจ้งข้อหาเพิ่มเติม
ชัยวัฒน์กล่าวว่า การแจ้งข้อหาเพิ่มเติมนี้ถือว่าครบถ้วน เพราะก่อนหน้านี้ที่แจ้งข้อหาร่วมกันฆ่าอำพรางนั้น ในฐานะที่ตนทำงานราชการสืบสวนสอบสวน หากไม่แจ้งข้อหาใช้อาวุธข่มขืนใจผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 ก็ถือว่าขาด จึงเป็นเรื่องปกติที่ต้องแจ้งเพิ่ม ไม่รู้สึกหนักใจ พร้อมยืนยันถึงความบริสุทธิ์ใจและพร้อมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
ด้าน ไตรยฤทธิ์ เตมหิวงศ์ อธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่าพนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้เรียกชัยวัฒน์กับพวกรวม 4 คน มารับทราบข้อกล่าวหาเพิ่มเติม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 309 ข้อหาร่วมกันโดยมีอาวุธข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง
ด้าน ประยุทธ เพชรคุณ รองอธิบดีอัยการคดีพิเศษ ในฐานะรองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีที่อัยการสูงสุดมีคำสั่งชี้ขาดความเห็นแย้งให้ฟ้อง ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานกับพวกรวม 4 คน ฐานร่วมกันฆ่าพอละจีโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและข้อหาอื่นๆ
โดยประยุทธกล่าวว่า ทางอัยการสำนักงานคดีพิเศษได้เตรียมพร้อม โดยก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม ได้มีหนังสือถึงดีเอสไอให้ไปแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมในส่วนที่ยังไม่แจ้ง และให้นำตัวส่งมาให้อัยการยื่นฟ้องต่อศาลภายในวันที่ 5 กันยายนนี้ โดยทางทีมงานคณะทำงานอัยการได้ร่างฟ้องเตรียมพร้อมหมดแล้วในวันที่ 5 กันยายน ถ้าชัยวัฒน์กับพวกทุกคนเดินทางมา อัยการจะนำตัวไปส่งฟ้องต่อศาลแน่นอน
“ในส่วนถ้าชัยวัฒน์กับพวกไม่มา ก็จะแจ้งให้พนักงานสอบสวนติดตามตัวมา ถ้าติดตามตัวไม่ได้ก็ขออนุญาตศาลออกหมายจับ ส่วนวันยื่นฟ้องทางอัยการจะคัดค้านการปล่อยชั่วคราวหรือไม่นั้น ยังไม่ได้คุยกับคณะทำงาน ต้องค่อยว่ากัน” ประยุทธกล่าว
อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าสำหรับคำสั่งชี้ขาดให้ฟ้อง ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผู้ต้องหาที่ 1, บุญแทน บุษราคำ ผู้ต้องหาที่ 2, ธนเสฏฐ์ หรือ ไพฑูรย์ แช่มเทศ ผู้ต้องหาที่ 3 และ กฤษณพงษ์ จิตต์เทศ ผู้ต้องหาที่ 4
ประกอบด้วยความผิด
- ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และเพื่อจะเอาหรือเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแต่การที่ตนได้กระทำความผิดอื่นเพื่อปกปิดความผิดอื่นของตน หรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้
- ร่วมกันโดยมีอาวุธข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง
- ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย เป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวถูกกักขัง หรือต้องปราศจากเสรีภาพในร่างกายนั้นถึงแก่ความตาย
- ร่วมกันโดยทุจริตหรืออำพรางคดี กระทำการใดๆ แก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพ ก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้นในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 249 (4) (7), 309, 310, พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4, พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 มาตรา 4, ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 ทวิ และพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 21) พ.ศ. 2542 มาตรา 5
- ข้อหาเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ทางคณะทำงานพิจารณาแล้วเห็นว่าพยานหลักฐานพอฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 4 จึงเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ 1-3 ในข้อหาร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 157 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/2, 172 และเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ 4 ฐานเป็นผู้สนับสนุนให้กระทำความผิดดังกล่าวข้างต้น