วันนี้ (22 กรกฎาคม) พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แบบบัญชีรายชื่อ ร่วมอภิปรายในญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล โดยเป็นผู้สรุปการอภิปรายว่า 8 ปีนับตั้งแต่รัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยึดอำนาจมาถึงวันนี้ ทำคนไทยมืด 8 ด้าน ไม่มีความหวัง ไม่มีความฝัน ไม่มีอนาคต ซึ่งกลยุทธ์ 3 แกนสร้างอนาคต เมื่อไปดูในรายละเอียดก็พบว่า กลวง เป็นของปลอมที่มีแต่เพียงเปลือก อย่างแกนที่ 1. โครงสร้างพื้นฐานก็ช้าและมีแต่จะเจ๊ง แกนที่ 2. อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าก็เริ่มต้นช้าตามหลังประเทศเพื่อนบ้าน ความหวังเป็นศูนย์กลางแทบไม่มีทางเป็นไปได้ และแกนที่ 3. การเงินการธนาคารที่จะให้คน 30 ล้านเข้าถึง ขนาดมีอำนาจเต็มยังทำไม่ได้ อีกทั้งแผนการเงินที่พูดมาก็เป็นสิ่งที่ตัวเองไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ และขนาดที่ผู้บริหารธนาคารระดับประเทศเองก็บอกว่างงเป็นไก่ตาแตกกับแผนนี้
“เรื่องที่ไว้วางใจไม่ได้มากที่สุดคือ นายกฯ ไม่รู้จักประชาชน ไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำให้ประชาชนนอนไม่หลับคือไม่มีความหวัง ท่านต้องเข้าใจว่าตอนนี้เงินเฟ้อทั้งปีจะสูงที่สุดในรอบ 24 ปี เงินบาทอ่อนที่สุดในรอบ 16 ปี หนี้สาธารณะสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ปุ๋ยแพงที่สุดในประวัติศาสตร์ ราคาอาหารสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ในเวลาแบบนี้ประชาชนต้องการให้นายกฯ เป็นผู้นำที่จะสร้างความหวังกลับมาให้ประเทศ ไม่ใช่ให้ สมช. คิดแผน แล้วก็ไปตั้งคณะกรรมการ เดี๋ยวก็ตั้งคณะอนุกรรมการ และอนุกรรมการก็ไปตั้งที่ปรึกษา ไม่ได้มีแก่นสาร ไม่ได้มีสาระอะไรที่จะทำให้ประเทศไทยออกจากวิกฤตได้เลย” พิธากล่าว
พิธากล่าวอีกว่า สำหรับ 3 แกนที่แท้จริงของประยุทธ์ คือ 3 ทำลาย ได้แก่
- ทำลายศักยภาพในประเทศผ่านการบริหารที่ผิดพลาดล้มเหลว ทุจริต ฉ้อราษฎร์บังหลวง หนี้ครัวเรือน หนี้สาธารณะมีแต่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีหนี้นโยบายและหนี้กองทุนน้ำมันที่ซุกไว้อีกด้วย
- ทำลายศักยภาพของไทยในต่างประเทศ เพราะเป็นรัฐบาลที่ไม่ทันโลก ไม่เจนจัดสนามการเมืองโลก ขาดลูกล่อลูกชน และโดยหลักการคือควรวางตัวเป็นกลาง เพื่อรักษาสมดุลระหว่างประเทศ แต่กลับไม่ทำ อย่างกรณีเครื่องบินรบเมียนมา MIG-29 รุกล้ำน่านฟ้าไทยเข้ามายิงคนในประเทศตัวเอง ก็เสี่ยงที่จะทำให้ไทยละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ โดยลากขึ้นศาลได้ ขณะที่การตั้งผู้แทนพิเศษด้านเมียนมา ก็ดันไปเอาบุคคลที่มีมลทิน เคยมีความผิดเกี่ยวกับความเป็นล็อบบี้ยิสต์มาดำรงตำแหน่ง
- ทำลายศักยภาพประชาชน ซึ่งก็คือการทำลายเสรีภาพของคนไทยทุกคน ละเมิดสิทธิประชาชนด้วยคดีความที่เป็นการทำลายนิติรัฐ ทำลายกติกาของการอยู่ร่วมกันของสังคมไทย เพื่อรักษาอำนาจทางการเมืองของตัวเอง โดยเฉพาะที่สำคัญคือการแอบอ้างเรื่องสถาบัน ที่ทำให้มีคนจำนวนมากถูกดำเนินคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
“บทสรุปของ 3 แกนที่แท้จริงคือ โรคระบาดของความสิ้นหวัง ที่ทำให้อัตราการฆ่าตัวตายของคนหนุ่มสาวอายุ 25-34 ปีของไทยสูงที่สุดในอาเซียน จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก โดยสูงกว่าสิงคโปร์ เวียดนาม และมาเลเซีย กว่าเท่าตัว รวมทั้งสูงกว่าฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียถึง 5 เท่าตัว โดยถ้าใช้เครื่องมือใหม่ของนักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลจากมหาวิทยาลัยพรินซ์ตันที่ชื่อดัชนี Death of Despair หรือความตายจากการสิ้นหวังมาชี้วัด พบว่า ในช่วง 5 ปีของรัฐบาลประยุทธ์ตั้งแต่ก่อนโควิด คนตายจากความสิ้นหวังเพิ่มขึ้น 34% จากปีละ 14,000 คน เป็นปีละเกือบ 20,000 คน และถ้านำมาดูในช่วงโควิด มีคนไทยตายจากความสิ้นหวังที่รวมการเลือกจะจบชีวิตตัวเองจากการฆ่าตัวตาย เสพยาจนตาย และดื่มแอลกอฮอล์จนตายใน 2 ปีกว่าที่ผ่านมา พบว่า มีมากกว่า 40,000 คน นี่คือโรคระบาดแห่งความสิ้นหวังที่มีคนตายมากกว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิดเสียอีก” พิธากล่าว
พิธากล่าวช่วงท้ายว่า ในยามที่บ้านเมืองบอบช้ำ ข้าวยากหมากแพง ผู้คนสิ้นหวังด้วยวิกฤตที่เราไม่เคยเจอมาก่อนแบบนี้ นายกฯ คนต่อไปต้องไม่ใช่คนที่ทำงานเพื่อประโยชน์ส่วนตน แต่ต้องเป็นเพื่อประโยชน์ของประชาชนเอง ต้องเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์ มีความเป็นสากล ได้รับการยอมรับจากนานาประเทศ ต้องเป็นคนที่รับฟังคนอื่นที่ไม่เห็นด้วยกับความคิดของตัวเอง และคิดว่าจะสร้างอนาคตที่ดีกว่าร่วมกันได้อย่างไร ต้องเป็นคนที่มีความฝันไม่ใช่เพ้อฝัน สามารถบวกทฤษฎีกับการปฏิบัติจนเกิดผลลัพธ์ได้จริง สามารถดึงดูดพลังจากคนหนุ่มสาวเพื่อหาทางไปข้างหน้า ไม่ว่าจะยากเย็นเพียงใดก็ตาม