วานนี้ (20 กรกฎาคม) จักรพล ตั้งสุทธิธรรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จังหวัดเชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย อภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในข้อหาสร้างความล้มเหลวและทำให้ภาคการท่องเที่ยวของประเทศไทยพังแบบไร้ค่า ทำให้ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไทยรั้งท้ายในอาเซียน เนื่องจากนายกฯ ไร้สมองและไร้ภูมิปัญญาในการบริหารราชการแผ่นดิน จึงขอใช้สัปปายะสภาสถานเป็นสถานที่ในการสับประยุทธ์
จักรพลขอให้คิดร่วมกันว่า หากทฤษฎีพหุจักรวาลหรือมัลติเวิร์สที่ไม่มี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่ด้วย ประเทศไทยจะมีความเจริญขนาดไหน ประชาชนจะกินดีอยู่ดีเพียงใด แต่ที่รู้แน่ๆ คือ จักรวาลที่มี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังนำประเทศไทยสู่ความล่มจม ณ วันนี้เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจทั้ง 4 ตัวแทบจะดับสนิท โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่กำลังฟื้นตัวแต่ก็ร่อแร่ มาตรการรัฐที่ออกมาไม่ได้ทำให้ประชาชนดีขึ้น แต่ทำให้ประชาชนตกต่ำถอยหลังลงคลอง เช่น การท่องเที่ยวของประเทศไทยที่เคยมีมูลค่า 3 ล้านล้านบาท หรือ 20% ของ GDP ปัจจุบันมีค่าเพียง 0.3 ล้านล้านบาท หรือร้อยละ 2 ของ GDP ล้วนมาจากการบริหารแบบประยุทธ์
สำหรับการท่องเที่ยวของประเทศไทยถือเป็นเครื่องยนต์หลักในการหารายได้เข้าประเทศ สามารถช่วยชีวิตประเทศไทยมาโดยตลอด แต่ปัจจุบันการการท่องเที่ยวแทบจะสิ้นลมหายใจ ซึ่งหากย้อนดูความล้มเหลวของรัฐบาลก็จะเห็นผลงานของความล้มเหลวอย่างสมบูรณ์ เช่น การแพร่ระบาดของโควิดระลอกที่ 1 นายกฯ ได้ประกาศล็อกดาวน์ประเทศไทย ทำให้รายได้ของประเทศหายไปทันทีร้อยละ 38.2 หรือ 3 แสนล้านบาท ซึ่งขณะนั้นทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายประชาชนในประเทศกลับสู่ภูมิลำเนาเดิม จนทำให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และหากย้อนมองไตรมาสที่ 2 ในปี 2563 จะพบว่า รายได้จากการท่องเที่ยวของประเทศไทยลดลง 6 แสนล้านบาท ซึ่งไม่ใช่การล้มธรรมดา แต่เป็นการล้มหายและโดนธรณีสูบ
การที่นายกฯ ปิดประเทศโดยไม่รอบครอบ ถือเป็นการปิดประเทศที่มัดมือ-มัดเท้า ซ้อมผู้ประกอบการและภาคแรงงาน ถึงแม้พรรคเพื่อไทยจะเห็นด้วยว่าการปิดประเทศเป็นเรื่องจำเป็น แต่นายกฯ กลับใช้อำนาจในการปิดประเทศที่ไม่เป็นและไม่รู้จักการป้องกันและป้องปราม อีกทั้งไม่มีนโยบายเชิงรุกที่จะฟื้นฟูประเทศในช่วงเวลาดังกล่าว โดยปัญหาเรื่องการขาดแคลนนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ลากยาวมาจนถึงไตรมาสที่ 3 ของปี 2563 ทำให้ขาดแคลนรายได้จากการท่องเที่ยวกว่า 1.19 ล้านล้านบาท รัฐบาลควรสร้างความมั่นใจให้ชาวต่างชาติในการเดินทางเข้าประเทศ แต่กลับไม่ทำและปล่อยปละละเลย ทำให้ประชาชนในประเทศขวัญผวาตลอดมา
รวมถึง พ.ร.ก.เงินกู้โควิด อีก 2 ฉบับ ก็ใช้ไม่ได้ผล เปรียบเสมือนหมอที่เรียนจบเพียงออนไลน์ จ่ายยาที่ไร้ฤทธิ์ ทำให้ประเทศไทยที่มีอาการหนักอยู่แล้วเข้าสู่อาการโคม่าโดยทันที ดังสำนวนโบราณที่ว่า ‘ความซื่อตรงต่อตนเป็นหลักการที่ดีที่สุด’ แต่ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับไม่อยู่บนหลักของความซื่อตรง กำลังหลงอยู่บนหลักของเงินกู้และผลาญเงินของประเทศ จึงถือว่าเป็นนายกฯ ที่ขยันมาก เพราะนายกฯ ขยันสร้างวิกฤต สร้างปัญหา และไม่สร้างประโยชน์ให้ประเทศไทยเสมอมา
นอกจากนั้นนายกฯ ยังมีท่าดีทีเหลว หลอกจกตาภาคธุรกิจ เช่น แผนเปิดประเทศ 120 วันที่ทำให้ผู้ประกอบการต้องจัดวางแผนทางธุรกิจ แต่ด้วยการวางแผนที่ผิดพลาดทั้งด้านสาธารณสุขและเศรษฐกิจ ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน ซึ่งจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งที่ผ่านมาที่ตนได้ตั้งฉายาให้รัฐบาลว่า เป็นพระบิดาแห่งการเสียค่าโง่ของประเทศไทย ดังนั้นหากเป็นไปได้ตนอยากผลักดันให้ประเทศไทยประกาศว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้นำที่ไร้ความสามารถที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย
ทั้งนี้ จักรพลได้เสนอ 5 บาดแผลที่นายกฯ ได้สร้างไว้แก่ประชาชน
– บาดแผลที่ 1 นายกฯ สามารถสร้างจำนวนคนว่างานได้สูงถึง 1.7 แสนคน
– บาดแผลที่ 2 ดัชนีความเชื่อมั่นของบริโภคที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2565 ที่ปรับตัวลงจากระดับ 44.7 มาอยู่ที่ 44.3
– บาดแผลที่ 3 ดัชนีความสุขของคนไทยลดลงอย่างชัดเจน จากเดิมประเทศไทยอยู่ลำดับที่ 34 ตกมาที่ 46 และปัจจุบันไทยอยู่ลำดับที่ 61 ดังนั้นเหตุใดนายกฯ ถึงยังไม่ตกเก้าอี้ ‘เสือไม่หันไปกินมังสวิรัติฉันใด คนทำรัฐประหารก็ไม่น่าจะเปลี่ยนนิสัยมาสนับสนุนประชาธิปไตยหรือคนทำมาหากินฉันนั้น’
– บาดแผลที่ 4 จำนวนนักท่องเที่ยวที่ตกต่ำและหายไปร่วม 32.5 ล้านคน
– บาดแผลที่ 5 รายได้จากภาคการท่องเที่ยวในปี 2564 หายไป 1.64 ล้านบาท จากที่เคยเป็นฮีโร่ แต่กลับเป็นฮีโร่ที่ปีกหัก
นอกจากนั้นจักรพลยังได้ยกตัวอย่างโครงการช่วยเหลือประชาชนของรัฐบาลที่ล้มเหลว เช่น โครงการคนละครึ่ง และโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ว่าเป็นโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ตื้นเขิน และเป็นมาตรการช่วยเหลือประชาชนที่ไม่ยั่งยืน
โดยช่วงท้ายของการอภิปราย จักรพลได้มอบนาฬิกาทรายให้แก่ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไว้เพื่อเตือนใจว่า หากนาฬิกาทรายคว่ำลงเมื่อใด แสดงว่าการนับถอยหลังของรัฐบาลได้เริ่มขึ้นแล้ว ดังนั้นจึงขอให้ พล.อ. ประยุทธ์ อย่าอยู่เป็นเสี้ยนหนามของชีวิต อย่ากีดขวางทางออกของประเทศ ดังนั้นจึงไม่อาจไว้วางใจให้นายกฯ และคณะรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ได้ต่อไป