วันนี้ (20 กรกฎาคม) ชนก จันทาทอง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จังหวัดหนองคาย พรรคเพื่อไทย อภิปรายไม่ไว้วางใจ ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ในข้อกล่าวหาที่มีความจงใจในการปฏิบัติหน้าที่และใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มีความประพฤติเสื่อมเสียทางศีลธรรมอันดี ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
จากข้อกล่าวหาเรื่องไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงนั้น ชนกได้เปิดสไลด์ภาพขึ้นจอกลางห้องประชุม ซึ่งข้อความในสไลด์ได้เบลอภาพถ่ายพร้อมข้อความบน Facebook
สำหรับข้อความจากโพสต์ Facebook ได้ระบุว่า ได้ทราบเรื่องของครอบครัวคนที่รักว่าสามีพูดกับภรรยาว่า “ฉันเลือกชีวิตแบบนี้สามคนผัวเมีย เธอรับไม่ได้ก็ออกไป” และผู้หญิงอีกคนก็มีลูกมีสามีแล้วด้วย ฟังแล้วหดหู่ใจเลย ได้แต่ให้กำลังใจ #ค่านิยม สถาบันครอบครัวที่เปลี่ยนไป
ทำให้ พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์ ส.ส. กทม. พรรคพลังประชารัฐ ได้ลุกขึ้นประท้วงโดยทันที โดยเข้าใจถึงการทำหน้าที่ในการอภิปรายของฝ่ายค้าน แต่การที่ชนกได้อภิปรายนั้นไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่บริหารของชัยวุฒิโดยตรง ซึ่งประเด็นที่อยู่ในการอภิปรายนั้นไม่ว่าจะมีมูลหรือไม่ก็ตามมองว่าเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน จึงขอให้อภิปรายในประเด็นการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐมนตรี
ขณะที่ จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส. เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นประท้วง และเห็นว่าประเด็นที่ชนกพูดอยู่นี้บรรจุอยู่ในญัตติการอภิปรายที่ได้ยื่นต่อสภาไว้แล้ว เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง โดยมีเรื่องชู้สาวและได้สร้างความเสียหายต่อระบบราชการในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภายในกระทรวงดีอีเอส ซึ่งมีบุคคลดังกล่าวเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างจริง
ทำให้ ศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่สอง ซึ่งทำหน้าที่เป็นประธานในการประชุมขณะนั้น กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ประธานวินิจฉัยลำบากเนื่องจากเป็นเรื่องภายในครอบครัว ซึ่งหากเป็นเรื่องส่วนตัวแต่หากกระทบต่อการดำรงตำแหน่งของรัฐมนตรีก็ขอให้อภิปรายด้วยความระมัดระวัง
จากนั้น กรณิศ งามสุคนธ์รัตนา ส.ส. กทม. พรรคพลังประชารัฐ และ นันทนา สงฆ์ประชา ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคประชาภิวัฒน์ ลุกขึ้นประท้วงประธานในที่ประชุม ว่าหากจะอภิปรายในการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐมนตรีก็สามารถรับฟังได้ แต่การพูดพาดพิงถึงครอบครัวและบุคคลที่สาม รวมถึงบุตรของรัฐมนตรี นั้นมองว่าควรย้อนกลับไปตรวจสอบจริยธรรมของชนกด้วย
โดยชนกได้กลับมาอภิปรายต่อ โดยกล่าวว่าตนก็มีหัวอกความเป็นแม่และภรรยา และส่วนตัวก็เป็นเพื่อนกับภรรยาของรัฐมนตรีชัยวุฒิเช่นกัน ดังนั้นจากพฤติกรรมทั้งหมดที่กล่าวมา พบว่าเมื่อ ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ ขึ้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีแล้ว “มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป เชิดหน้าชูตาหญิงอื่นเหนือกว่าภรรยาของตัวเอง และทำร้ายจิตใจภรรยาของตัวเองอย่างแสนสาหัส ทุกข์ทรมานจิตใจ”
ดังนั้นจึงไม่อาจไว้วางใจชัยวุฒิได้ เนื่องจากมีพฤติกรรมที่ทำผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นรัฐมนตรี เพราะมีพฤติกรรมที่ไม่เป็นแบบอย่างที่ดีในการรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมอันดีงาม รวมทั้งรักษาเอกลักษณ์ของความเป็นไทย
ด้านชัยวุฒิได้ลุกขึ้นชี้แจงว่า การอภิปรายลักษณะนี้ถือว่าไปไกลไปหน่อย โดยมองว่าเป็นมาตรฐานที่ต่ำ มองว่ายังมีประเด็นที่ให้อภิปรายอีกเยอะโดยการพูดเรื่องที่ต่ำคนพูดก็จะต่ำไปด้วย ซึ่งคนที่พูดเช่นนี้ก็จะมีคดีติดตัวไปด้วยก็คือคดีหมิ่นประมาท การฟังคนโน้นคนนี้ว่ามาหรือการมโนและนำมาพูดในสภาโดยไม่มีข้อเท็จจริง สุดท้ายก็ให้ไปพูดกันในศาลไม่ใช่ตนฟ้อง แต่คนเสียหายจะเป็นคนฟ้อง
“จริงๆ อยากให้พูดให้หมด รูปอยากจะเปิดก็เปิดเถอะ ของมันไม่จริง มันก็ไม่มีอะไร ผมไม่ได้กลัวอยู่แล้วครับ แต่ส่วนตัวคิดว่าการอภิปรายในประเด็นแบบนี้มันไปไกลไปหน่อย ผมว่ามาตรฐานมันต่ำ มันมีเรื่องให้พูดตั้งเยอะนะครับ คือการพูดเรื่องที่มันต่ำคนพูดก็จะต่ำไปด้วย แล้วภาพนี้มันจะติดตัวท่านไป
“ทุกคนถ้ารู้จักผมจะรู้ว่าผมเป็นคนยังไง และคุณไม่รู้จักผม คุณก็อย่ามาพูดอภิปรายในเรื่องส่วนตัวของผม ไปฟังคนโน้นคนนี้พูดมาแล้วเอามาพูดมันไม่ใช่ครับ”
