วันนี้ (2 กันยายน) จิราพร สินธุไพร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จังหวัดร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้นอกจากจะเป็นการทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่จะต้องตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจการทำงานของรัฐบาลแล้ว ยังเป็นการทำหน้าที่ของเพื่อนมนุษย์ เพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้กับทุกชีวิตที่ต้องสูญเสีย ทุกชีวิตที่ต้องทนทุกข์ทรมาน จากการบริหารราชการแผ่นดินที่ล้มเหลว ผิดพลาด บกพร่องอย่างร้ายแรงของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งนอกจากการอภิปรายในครั้งนี้ตนจะขออภิปรายพาดพิงไปถึง อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขด้วย
จิราพรกล่าวต่อไปว่า ความจริงแล้วคนอย่าง พล.อ. ประยุทธ์ ไม่ได้คู่ควรที่จะให้สภาผู้แทนราษฎรอันทรงเกียรติแห่งนี้อภิปรายไม่ไว้วางใจขับไล่ถึง 3 ครั้ง และขอให้การอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ. ประยุทธ์ในครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย
พล.อ. ประยุทธ์เป็นบิดาแห่งเผด็จการราชการรวมศูนย์ เคยชินแต่การบริหารกองทัพ เคยชินกับการใช้มาตรา 44 วันนี้ท่านมีทั้ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) รวบอำนาจเอากฎหมายทั้ง 40 ฉบับ มาไว้กับตัวเอง อ้างว่าเพื่อบริหารสถานการณ์วิกฤตโควิด แต่อำนาจนั้นจะต้องมากับความสามารถและความรับผิดชอบ แต่วันนี้ พล.อ. ประยุทธ์ได้พิสูจน์แล้วว่าตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมันเกินความสามารถของท่าน วันก่อนนี้ พล.อ. ประยุทธ์ได้กล่าวว่า รัฐบาลจะต้องเจอกับวิกฤตซึ่งทุกรัฐบาลที่ผ่านมาไม่เคยเจอมาก่อนก็เป็นธรรมดาบ้าง ที่อาจจะบริหารแบบทุลักทุเล
แต่ พล.อ. ประยุทธ์อย่าลืมว่าในขณะที่ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ท่านก็เจอกับวิกฤตไข้หวัดนก โรคซาร์ส และสึนามิ ซึ่งก็ล้วนแล้วแต่เป็นวิกฤตที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับประเทศไทยมาก่อนเช่นกัน แต่ก็สามารถบริหารจัดการจนกลายเป็นประเทศต้นแบบโลก
“ที่สำคัญขณะนั้นอดีตนายกฯ ทักษิณใช้เพียง พ.ร.บ.โรคติดต่อ เพียงฉบับเดียวก็สามารถจัดการกับวิกฤตได้แล้ว แต่ พล.อ. ประยุทธ์มีทั้ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน การตั้ง ศบค. รวบอำนาจทุกอย่างให้กับตนเอง แต่กลับบริหารล้มเหลว เชื่องช้า เกิดนโยบายทราบแล้วเปลี่ยน สร้างความสับสนให้กับประชาชน จากที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดในช่วงเริ่มต้นดีกว่าหลายประเทศ แต่ พล.อ. ประยุทธ์ ก็รอกินแต่บุญเก่าที่รัฐบาลชุดที่ผ่านมาได้วางระบบสาธารณสุขเอาไว้อย่างแข็งแกร่ง ท่านไม่ได้วางแผนเพื่อรองรับสถานการณ์และพาประเทศเดินทางมาถึงจุดวิกฤตจนสาธารณสุขไทยล้มเหลว เศรษฐกิจพังพินาศ ข้อสั่งการมติคณะรัฐมนตรีกลายเป็นเพียงแค่วาทกรรมที่เชื่อถือไม่ได้ กลายเป็นนายกรัฐมนตรีที่บริหารประเทศด้วยนโยบายเกินน้ำลายตัวเอง” จิราพรกล่าว
จิราพรกล่าวอีกว่า ก่อนหน้านี้ที่นายกรัฐมนตรีตอบข้อชี้แจงในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่กล่าวว่าตนมีสมองเพียงน้อยนิด แต่อย่างน้อยท่านก็ยังฉลาดอยู่เรื่องหนึ่งคือเรื่องไหนที่สังคมสงสัยมากๆ และมีหลักฐานมัดตัวท่าน ท่านก็จะไม่ตอบชี้แจงเอง เพราะรู้ว่าตนเองไม่เหลือเครดิตใดแล้ว ให้ข้าราชการมาแถลงข่าวตอบคำถามแทน ส่วนตนเองตอบเพียงว่าสวดมนต์ทุกวัน ไม่มีวันโกง ไม่ทราบว่าท่านเคยได้ยินคำว่า มือถือสาก ปากถือศีล หรือไม่
นอกจากนั้น จิราพรได้อภิปรายถึงกรณีที่กรมควบคุมโรคขออนุมัติซื้อวัคซีนเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2564 ที่จำนวน 10.9 ล้านโดส ตกราคา 17 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส แต่งบประมาณในการจัดซื้อไม่เพียงพอ จึงจำเป็นที่จะต้องดึงเงินจากงบกลางมาจัดซื้อโดยผ่านคณะกรรมการกลั่นกรองเงินกู้ แต่มีเงื่อนไขว่าการซื้อวัคซีนอย่าจัดซื้อเพียงยี่ห้อเดียวให้จัดซื้อยี่ห้ออื่นที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโควิดสายพันธุ์ใหม่ควบคู่ไปด้วย ซึ่งการจัดซื้อควบคู่คือการจัดซื้อแบบ 2 in 1 แต่ปรากฏว่าจากนั้นมติของคณะรัฐมนตรี (ครม.) กลับให้จัดซื้อวัคซีนของ Sinovac ทั้งหมด
“เพียงแค่ประเด็นนี้นายกฯ ก็ผิดเต็มๆ แล้ว ทำผิดโดยการไม่ปฏิบัติตามมติของคณะกรรมการกลั่นกรองเงินกู้ สำนักงบประมาณ ความเห็นของกระทรวงการคลัง และสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมที่ไม่ตรงไปตรงมาและส่อไปในทางทุจริต เรื่องนี้นายกฯ ต้องชี้แจง” จิราพรกล่าว
จิราพรกล่าวต่อไปอีกว่า ที่ผ่านมาหนังสือพิมพ์ชื่อดังของสหรัฐอเมริกาอย่าง The Washington Post ได้เคยเผยแพร่ข่าวสารว่าบริษัท Sinovac ติดสินบนเจ้าหน้าที่ จึงอดคิดไม่ได้ที่ พล.อ. ประยุทธ์และพวกไม่ยอมซื้อวัคซีนของสหรัฐอเมริกา เช่นวัคซีน Moderna, Pfizer และ Johnson & Johnson เพราะไม่ได้เงินทอนหรือค่าคอมมิชชันใช่หรือไม่ พล.อ. ประยุทธ์ถึงไม่จัดซื้อแต่แรก แบบนี้จะให้เราคิดว่าการจัดซื้อวัคซีน Sinovac บริสุทธิ์ผุดผ่องได้อย่างไร
“ประเทศจีนเขายังไม่มั่นใจ แล้วเหตุใด พล.อ. ประยุทธ์ถึงมั่นใจสั่งซื้อ Sinovac เข้ามาอีกจำนวนมาก ทั้งๆ ที่ประเทศไทยก็มีโควิดสายพันธุ์เดลตาเข้ามาแล้ว และจากนั้นรัฐบาลก็กระหน่ำซื้อเข้ามาอีก รัฐบาลจะตะบี้ตะบันซื้อเข้ามาทำไมนักหนา ท่านไม่ต้องมาว่าพรรคร่วมฝ่ายค้านด้อยค่าวัคซีน Sinovac สุดรักสุดหวงของท่าน ท่านต่างหากที่กำลังด้อยค่าชีวิตคนไทย ที่จัดซื้อวัคซีนที่ไม่หลากหลาย ไม่เพียงพอ ไม่มีประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อสายพันธุ์ใหม่” จิราพรกล่าว
จิราพรอภิปรายต่อไปอีกว่า ประเด็นเรื่องเงินทอนและส่วนต่างวัคซีนนั้นรัฐบาลจัดซื้อวัคซีน Sinovac จำนวน 5 ครั้ง ที่จำนวน 17 ดอลลาร์สหรัฐทุกครั้ง เช่น การจะซื้อครั้งที่ 2 รัฐบาลอนุมัติจัดซื้อวัคซีนที่ 17 ดอลลาร์สหรัฐ แต่จัดซื้อจริงเพียง 15 ดอลลาร์สหรัฐ เหตุใดในครั้งนั้น ครม. ไม่อนุมัติในการจัดซื้อเพียง 15 ดอลลาร์สหรัฐ และการจัดซื้อในครั้งที่ 3 ครม. ก็อนุมัติซื้ออีก 17 ดอลลาร์สหรัฐ แต่ซื้อจริง 14 ดอลลาร์สหรัฐ โดยหลักการการที่จะจัดซื้อในราคาใดก็ต้องอนุมัติงบประมาณในการจัดซื้อราคานั้น ซึ่งประเด็นดังกล่าวทั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขจะต้องชี้แจงให้ชัดเจน โดยเฉพาะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดยการซื้อขายต้องโปร่งใส ตรงไปตรงมา อย่าทำให้คนรู้สึกว่าท่านเกิดที่ซิโน-ไทย แต่ไปเติบใหญ่ที่ Sinovac จึงขอให้นายกรัฐมนตรีนำเอกสารการจ่ายเงินที่กรมควบคุมโรคจ่ายให้กับองค์การเภสัชกรรม และเอกสารที่องค์การเภสัชกรรมจ่ายให้บริษัท Sinovac ทุกครั้งที่มีการสั่งซื้อมาแสดงต่อสภาผู้แทนราษฎรให้หมด
การอภิปรายของจิราพร ทำให้ ศุภชัย ใจสมุทร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ต้องลุกขึ้นประท้วงระหว่างการอภิปรายว่า เป็นการอภิปรายในเนื้อหาที่ซ้ำซ้อนกับผู้อื่น
จากนั้นจิราพรได้กลับมาอภิปรายต่อว่า วัคซีนเป็นเรื่องใหญ่ มันมีเรื่องของเงินทอนในนั้น และข้อกล่าวหาที่กล่าวหาว่านายกรัฐมนตรีค้าความตาย หากินบนซากศพประชาชน ทั้งท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขก็ยังไม่ได้ตอบคำถามชี้แจงกับประชาชน จึงจำเป็นที่จะต้องอภิปรายบี้เอาคำตอบมาให้กับประชาชน
รัฐบาลนี้มีแต่จะรีดเลือดจากปู กำลังจะจ้องเก็บภาษีจากพ่อค้าแม่ค้าที่กำลังเข้าร่วมโครงการของรัฐ ทั้งๆ ที่พวกเขาแทบจะล้มทั้งยืนในวิกฤตครั้งนี้ ที่ผ่านมารัฐบาลปิดเมืองโดยไร้มาตรการรองรับ ใช้เงินกู้อย่างไร้ประโยชน์ เงินภาษีไม่ได้สร้างพลังให้ประชาชนแต่สร้างพลังประชารัฐ
“สรุปแล้วภายใต้การบริหารงานของ พล.อ. ประยุทธ์ ประเทศไทยแทบจะไม่มีโอกาสได้ยืนอยู่ในชั้นแนวหน้าเลยใช่หรือไม่ ดังนั้น หาก พล.อ. ประยุทธ์อยากจะสร้างประโยชน์ให้ประชาชนในช่วงวิกฤตนี้จริงๆ จึงขอให้ท่านนำเงินเดือนทั้ง 3 ของท่านคืนไป และขอให้ท่านไปไหนก็ได้สัก 3 เดือน หรือออกไปจากประเทศไทยได้ก็ยิ่งดี แล้วท่านจะรู้ว่าการหายไปของท่านคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับประชาชนและประเทศชาติ” จิราพรกล่าว
จิราพรยังได้กล่าวอีกว่า ตั้งแต่เกิดมาเพิ่งเคยเห็นวิกฤตที่หนักหนาสาหัสแบบนี้ ประเทศเราในขณะนี้อยู่ในภาวะที่สัปเหร่อทำงานหนักกว่านายกรัฐมนตรี พล.อ. ประยุทธ์ Work from Home ปิดทองหลังพระ แต่พระต้องใส่ชุด PPE ออกมาช่วยเหลือประชาชน ทุกอย่างมันกลับตาลปัตร ประชาชนต้องรอตรวจ รอเตียง รอตาย จนเตาเผาศพพัง จริงๆ เตาเผาศพต้องอยู่และรัฐบาลต้องไป
แม้ พล.อ. ประยุทธ์ จะระดมเอาวัคซีนสารพัดยี่ห้อเข้ามาและประกาศผ่อนคลายมาตรการเพื่อให้สถานการณ์ดีขึ้น แต่มันก็สายเกินไป สิ่งที่ท่านทำไม่สามารถลบล้างความผิดที่ได้ทำให้ธุรกิจที่ล้มไปแล้วต้องใช้เงินทุนมหาศาลในการที่จะกลับมา ครอบครัวที่ล่มสลายไม่อาจเยียวยาให้กลับมาเหมือนเดิมได้ คนที่ตายไปแล้วไม่สามารถฟื้นมาได้ ราคาที่คนไทยต้องจ่ายเพื่อให้ พล.อ. ประยุทธ์ได้อยู่ในอำนาจต่อ มันมากเกินกว่าที่จะรับได้ เพราะราคาที่เราต้องจ่ายไม่ใช่เพียงแค่ภาษีของพี่น้องประชาชน แต่คือชีวิตของคนไทยที่ต้องสังเวยให้กับผู้นำที่ไร้ความรู้ความสามารถคนนี้ ความเจ็บปวดอย่างยิ่งสำหรับประชาชนไม่ว่าประเทศไหนก็ตาม คือการตายให้กับความโง่ของผู้นำ ท่านไม่ได้ลงมือฆ่า แต่ท่านปล่อยให้เขาตาย และคนที่ตายไม่ได้สังเวยให้กับโรคระบาด แต่ตายสังเวยให้กับความไม่ฉลาดของผู้นำ
“ดิฉันจึงขอไว้อาลัยกับทุกชีวิตที่ต้องสูญเสียไปในวิกฤตครั้งนี้ ชาติหน้ามีจริงฉันใดขอให้ท่านอย่าได้มาเกิดในยุคที่มีการทำรัฐประหาร อย่าได้มาเกิดในยุคที่มีชื่อ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่าได้มาเกิดในยุคของผู้นำที่ขาดความรับผิดชอบ อย่าได้มาเกิดในยุคที่ผู้นำโอหัง คลั่งอำนาจ ไม่เห็นหัวของประชาชน อย่าได้มาเกิดในยุคที่ผู้นำค้าความตาย หากินบนซากศพและคราบน้ำตาของประชาชน และอย่าได้มาเกิดในยุคที่ผู้นำโง่เราจะตายกันหมด จึงไม่สามารถไว้วางใจให้ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ อนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข บริหารประเทศต่อไป” จิราพรกล่าวในท้ายที่สุด