วานนี้ (2 กันยายน) พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องด้วยความไร้ภูมิปัญญา ไร้ความสามารถ ไร้วิสัยทัศน์ ไร้ภาวะผู้นำ การบริหารสถานการณ์โควิดผิดพลาด ล้มเหลว จนถึงความโปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้างอุปกรณ์ที่สำคัญในการสยบวิกฤตโควิด จนไม่สามารถที่จะไว้วางใจให้บริหารราชการแผ่นดินต่อไป
พิธากล่าวว่า เมื่อ 6 เดือนที่ผ่านมาตนได้ตั้งคำถามในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรแห่งนี้ว่า ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องเลือกระหว่างประยุทธ์ หรือ ประเทศ ถ้าเราเลือกประยุทธ์ผมเกรงว่าเราจะไม่มีประเทศหลงเหลือ และถ้าเราเลือกประเทศ ประยุทธ์คือสลักแรกที่พวกเราจะต้องถอดออก แน่นอนว่าสภาตอนนั้นเลือก พล.อ. ประยุทธ์ ซึ่งหมายความว่าสภาแห่งนี้รับได้กับความไม่ชอบธรรม รับได้กับความทุจริตเชิงนโยบาย รับได้กับการเอื้อพวกพ้อง รับได้กับการแทรกแซงการทำงานของตำรวจ รับได้กับตั๋วช้าง ณ วันนั้นผู้ติดเชื้อ 25,000 คน เสียชีวิต 82 คน และเมื่อสองเดือนที่แล้วเดือนกรกฎาคม ตนอภิปรายว่าทุกๆ 90 นาทีในประเทศไทยมีคนฆ่าตัวตาย เป็นสถิติที่แย่ที่สุดในรอบ 20 ปี และตนได้เตือนรัฐบาลว่ามันทารุณเกินไป กับประเทศที่มีความพร้อมขนาดนี้แล้วปล่อยให้ประชาชนต้องตายเป็นใบไม้ร่วงขนาดนี้ น้ำตาตกพื้นเมื่อไรเป็นไฟเมื่อนั้น ณ วันนั้นผู้ติดเชื้อ 230,000 คน เสียชีวิต 2,080 คน มาถึงวันนี้เดือนกันยายนผู้ติดเชื้อ 1.2 ล้านคน ผู้เสียชีวิต 12,103 ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 4,800% เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 14,000% นี่คือราคาที่สภาแห่งนี้ต้องจ่าย นี่คือราคาที่ประเทศนี้ต้องจ่าย
การที่เราตัดสินใจเลือกประโยชน์เฉพาะหน้ามาก่อนประเทศ มีครอบครัวกว่า 12,103 ครอบครัว ที่จะต้องเสียคนในครอบครัวไปอย่างไม่มีวันกลับ และอย่างไม่มีความจำเป็น ตลอด 6 เดือนที่ผ่านมาเป็นคำสุภาพที่หยาบที่สุดในหัวใจของคนไทย มันสะท้อนก้องหูอยู่ตลอดเวลา เวลาที่ญาติเราป่วย เราจองวัคซีนไว้ในหมอพร้อมโดนเทไป 4 ครั้ง มันเป็นสิ่งที่กัดกินหัวใจเรามากที่สุดเวลาที่แม่ของเรา หรือยายของเรา ละเมอบอกว่าจมน้ำอยู่ช่วยด้วยหายใจไม่ออก ช่วยด้วยตอนนี้มีคนมาจุดประทัดอยู่ในคอมันเหมือนจะระเบิด ช่วยด้วยตอนนี้เหมือนคนมาจุดไฟอยู่ที่หัว แต่ไม่มีใครเห็นแต่คำว่ารอก่อนที่โหดร้ายที่สุด และอยู่ในหัวใจคนไทยที่เขาไม่รู้ คือคำว่ารอก่อน คือรอไปตลอดกาล
การตาย 12,103 ชีวิตไม่เหมือนกัน ตายคาบ้าน ตายคาเตียง ตายข้างถนน ตายคากองปัสสาวะอุจจาระตัวเอง ตายตอนดูคนที่เรารักเน่าไปต่อหน้าต่อตา ตายทั้งกลม ตายตั้งแต่ยังไม่รู้ว่าชีวิตคืออะไร อายุน้อยที่สุดคือ 4 เดือน ตายในหน้าที่ และที่น่าเศร้าที่สุดคือตายอย่างโดดเดี่ยว ตายแบบไม่ได้ลากัน ตายผ่านโทรศัพท์ ตายผ่าน Zoom คนที่ไม่เคยโดนแบบนี้จะไม่มีทางเข้าใจเลย มันทำให้คนที่มีชีวิตเหลืออยู่ตายทั้งเป็น ตนเข้าใจดีเพราะเป็นหนึ่งในนั้น
พิธากล่าวว่า คุณพ่อของตนเสียเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 วันรัฐประหาร เข้าโรงพยาบาลวันศุกร์เสียชีวิตวันอาทิตย์ ตนเรียนหนังสืออยู่ที่อเมริกาไม่สามารถกลับมาหาคุณพ่อได้ มีหลายเรื่องที่ยังไม่ได้บอกกัน และชื่อตนอยู่ในรายชื่อความมั่นคง 2549 จะไปถอนเงินมาจ่ายค่าศพคุณพ่อยังไม่ได้ ชื่ออยู่ในรายชื่อความมั่นคงตั้งแต่ 2549 แล้ว
ดังนั้นคนที่สูญเสียและไม่มีโอกาสที่จะได้ลากัน ตนเข้าใจเพราะเป็นหนึ่งในนั้น ทำไมต้องเป็นพ่อเรา ทำไมหมอช่วยไม่ได้ ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีบอกว่า รัฐบาลทำอย่างเต็มที่ นายกไม่เคยจะต้องไปขอวัคซีนใคร วัคซีนเป็นของหายากทุกประเทศต้องการ ตลาดวัคซีนเป็นของตลาดผู้ผลิต ไม่มีบริษัทไหนพร้อม วัคซีนยี่ห้อเดียวที่มีของและพร้อมจัดส่งคือ Sinovac นี่คือคำอธิบายจากนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลชี้แจง
คำถามเข้ามายังตนมากมาย เช่น จากบุคลากรด่านหน้า และจากสัปเหร่อที่วัด ว่าเหตุใดประเทศไทยจึงไม่มีวัคซีน mRNA เข้ามาเหมือนประเทศอื่น และประเทศไทยจะไม่มีเข้ามาจริงๆ หรือ โดยสัปเหร่อที่วัดบอกตนว่า ส.ส. รู้หรือไม่ตอนนี้เอาศพเข้าไปในเตาไม่ต้องติดไฟเผาเลย เพราะความร้อนไม่เคยได้หยุด วันนี้จึงมีคำตอบให้พวกท่าน
ซึ่งระหว่างอภิปรายนั้น พิธาได้นำเอกสารอ้างอิงในการจัดซื้อวัคซีนมาประกอบในการอภิปราย เช่น เอกสารโทรเลขระหว่างรัฐบาลไทยกับสถานทูตประเทศที่มีการผลิตวัคซีนหลายๆ ประเทศ, เอกสารการแลกเปลี่ยนอีเมลระหว่าง COVAX กับตัวแทนของประเทศไทย ซึ่งเอกสารที่นำมาแสดงสามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นหลักฐานภายในติดต่อวัคซีนจริง โดยพิธากล่าวว่า หากประชาชนเคยได้ตามข่าวเรื่องการทูตวัคซีน ที่มีข้อมูลน่าสนใจ 3 ช่วงด้วยกัน คือช่วงเดือนพฤศจิกายน 2563, เดือนเมษายน 2564 และเดือนมิถุนายน 2564
ช่วงเดือนพฤศจิกายน 2563 รัฐบาลได้ออกมาบอกว่ารัฐบาลได้ทำงานเต็มที่แล้วไม่เคยไปขอวัคซีนจากใคร วัคซีนที่ต้องการเป็นของหายาก ทุกคนทุกประเทศแย่งกันซื้อเป็นตลาดของผู้ขายไม่ใช่ของผู้ซื้อ COVAX ต้องออกเงินไปก่อน วัคซีนเดียวที่มีคือ Sinovac เท่านั้น
พิธากล่าวว่า ตนขอกล่าวหาว่ารัฐบาลนั้นตั้งใจที่จะเทวัคซีนคุณภาพทิ้งลงกลางอ่าวไทย และกล้าพูดเลยว่ารัฐบาลเทไมตรีจิตของวัคซีนคุณภาพทิ้งกลางอ่าวไทย และแทนที่รัฐบาลจะตาม Pfizer แต่ Pfizer กลับต้องตามรัฐบาลไทย วันที่ 25 สิงหาคม 2563 Pfizer แจ้งหน่วยงานในต่างประเทศของไทยว่าไม่ได้รับการตอบกลับจากกรมควบคุมโรค และสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ที่ติดต่อไปตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2563 แทนที่รัฐบาลอื่นเขาต้องตามวัคซีนเพราะเป็นความต้องการ โดยรัฐบาลที่ทำเต็มที่จะต้องเป็นเช่นรัฐบาลของประเทศอิสราเอลที่โทรตามหา CEO ของ Pfizer มากกว่า 30 ครั้ง นายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นบินไปหา CEO ของ Pfizer ด้วยตนเอง ทุกคนต้องการวัคซีนคุณภาพ วัคซีนที่หลากหลาย และวัคซีนที่พอเพียง แต่รัฐบาลไทยอย่างน้อยที่สุดก็คือเกียร์ว่าง อย่างมากที่สุดคือเฉยเมย ท่านตั้งใจที่จะไม่พิจารณาม้าตัวนี้เลย ซึ่งไม่ใช่การแทงม้าเดียว แต่เป็นการล็อกผลม้า ตั้งใจที่จะเทวัคซีนคุณภาพทิ้งลงกลางอ่าวไทยเต็มๆ Pfizer ต้องมาตามว่าคุณจะเอาหรือไม่ แค่นั้นไม่พอในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2563 ไทยหารือกับ Pfizer เป็นครั้งที่ 2 ที่บริษัทขอให้ประเทศไทยเร่งพิจารณาตัดสินใจโดยเร็วภายในปี 2563 Pfizer แทบจะใส่พานให้รัฐบาลไทยเลยด้วยซ้ำ และต่อมาเอกสารการสื่อสารระหว่างไทยและ COVAX สรุปได้ชัดว่า COVAX เป็นห่วงไทยมากกว่ารัฐบาลไทยเสียอีก
ขณะเดียวกันพิธาได้เปิดไทม์ไลน์การติดต่อระหว่างไทยและ COVAX ว่าเจรจากันตั้งแต่เดือนกันยายน 2563 จากนั้นประเทศไทยก็ขาดการสื่อสารไม่ตอบข้อความไปยัง COVAX ซึ่งวันที่ 5 พฤศจิกายนเป็นครั้งสุดท้ายที่ประเทศไทยติดต่อกับ COVAX และวันที่ 18 พฤศจิกายน COVAX ติดต่อมายังประเทศไทยเพื่อติดตามความคืบหน้าอีกครั้ง จนกระทั่งวันที่ 9 ธันวาคม COVAX ได้ส่งอีเมลมายังประเทศไทยว่าตกลงไทยจะเข้าร่วม COVAX หรือไม่ ท่านเกียร์ว่างหรือไม่มีมารยาทในการทำงาน และช่วงที่สองของการทูตวัคซีนคือเดือนเมษายน 2564 ที่เบื้องหน้ารัฐบาลไทยมั่นใจว่ามีวัคซีนชื่นชมในคุณภาพ ผลิตได้เยี่ยม พร้อมส่ง แต่เบื้องหลังไทยไปขอรับบริจาควัคซีน AstraZeneca จากประเทศหนึ่ง ไม่รู้ว่าจะใช้คำว่าต่อหน้ามะพลับ ลับหลังตะโก, ปากกล้าขาสั่น, ตีสองหน้า, หน้าอย่างใจอย่าง หรือหนวดเต่า เขากระต่ายได้หรือไม่ ต่อมาไทยไปขอรับบริจาควัคซีนจากอีกหนึ่งสถานทูตคือวัคซีนจากฝรั่งเศส แต่สุดท้ายก็ได้รับคำตอบว่าเขาจะขอบริจาคผ่าน COVAX เท่านั้น
การทูตวัคซีนช่วงที่ 3 นั้น การทูตวัคซีนมีอยู่ 2 ส่วนการทูต คือส่วนต่างประเทศ และ วัคซีนก็คือกระทรวงสาธารณสุข เบื้องหน้ารองนายกรัฐมนตรีสองคน ที่มีคนหนึ่งไม่พอใจอีกคนหนึ่งที่ให้ข่าวก่อน ทำไมไม่มาบอก หรือทำงานกันอย่างเป็นเอกภาพ อย่างนี้แล้วตนจึงไม่สามารถไว้วางใจได้
การทูตวัคซีนสำคัญจะต้องทำงานอย่างเป็นเอกภาพ นายกรัฐมนตรีท่านควรที่จะทำให้มือซ้ายและมือขวาของท่านสามารถที่จะทำงาน จึงไม่ไว้วางใจเท่าไร และเบื้องหลังที่มากกว่านั้นคือ คนที่อยู่ในคณะรัฐมนตรี (ครม.) บูรณาการทำงานที่ทำเนียบรัฐบาลไม่ได้ จะต้องไปบูรณาการทำงานที่ทำเนียบขาว วันที่ 1 มิถุนายน ไทยติดต่อไปยังทำเนียบขาว ให้ไปบอก CEO Pfizer ให้ยกเว้นข้อปฏิบัติ 1 ประเทศ 1 สัญญาเพื่อสามารถเจรจาได้สองกระทรวง ไปขอละเว้นเขา อเมริกาเลยงงว่าทำไมประเทศไทยถึงไม่คุยกันให้รู้เรื่องตั้งแต่ต้นทางแล้วมาเคลียร์กันที่ปลายทางอย่างนี้ สาธารณสุขและกระทรวงต่างประเทศควรที่จะไปคุยกัน ซึ่งการทำแบบนี้นั้นเป็นการทำแบบไม่เป็นทางการ ม้าตัวอื่นเทเขาทิ้งไม่อยู่ในสายตา พอม้าเต็งไม่มาตามนัด ม้ามืด Sinovac เลยกลายเป็นม้าหลัก
พิธากล่าวอีกว่า วัคซีนคืออาวุธที่สำคัญที่เราจะสยบโควิดครั้งนี้ ท่านต้องดูว่าน่าเชื่อถือหรือไม่ Sinovac มีปัญหาเรื่องการติดสินบน ขัดต่อจริยธรรมอย่างนี้แล้ว จะไม่มีผลกระทบต่ออีก 15 ล้านโดสที่ฉีดอยู่ในประเทศไทยหรือไม่ ตนขอตั้งคำถาม