วันนี้ (2 กันยายน) ที่อาคารรัฐสภา มีการประชุมเพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลเป็นวันที่สาม ตามมาตรา 151 ของรัฐธรรมนูญ ณ ห้องประชุมพระสุริยัน ชั้น 2 ตั้งแต่วันที่ 31 สิงหาคม ถึง 3 กันยายน 2564 และจะลงมติในวันที่ 4 กันยายน 2564 โดย พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาที่ พล.อ. ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ไร้ความสามารถ ไร้ประสิทธิภาพ ล้มเหลวในการบริหาร และเอางบภาษีแผ่นดินไปใช้ในทางที่สร้างบ่มเพาะความเกลียดชังเพื่อสะสมอำนาจในระบอบปรสิต
พิจารณ์ระบุว่า ตั้งแต่มีการการแพร่ระบาดของโรคโควิด พล.อ. ประยุทธ์รวบอำนาจจากกระทรวงต่างๆ แล้วตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค. ซึ่งมีหน่วยงานย่อยมากมาย 14 ศูนย์ หนึ่งในนั้นมีศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง หรือ ศปม. ซึ่งเป็นหน่วยงานเกี่ยวข้องกับความมั่นคงและกองทัพ มีอัตรากำลังกว่าหนึ่งแสนราย ตนไม่มั่นใจว่ากำลังพลเหล่านี้จะนำมาใช้แก้ไขโควิดได้มากน้อยแค่ไหน แต่การตั้ง ศปม. ก็ทำให้คนเหล่านี้ได้อายุราชการเพิ่มมากขึ้นแบบทวีคูณ และทำให้ได้ประโยชน์หลังเกษียณมากขึ้น เป็นการเกื้อหนุนกำลังพลในกองทัพเพื่อค้ำจุนอำนาจของ พล.อ. ประยุทธ์โดยภาษีประชาชน ทั้งนี้ ศปม. ออกประกาศห้ามชุมนุมบ่อยมาก อยากถามว่าตกลงแล้วที่ พล.อ. ประยุทธ์ตั้ง ศปม. เพื่อผลประโยชน์ของโควิดหรือเพื่อปิดปากประชาชนกันแน่
“งบประมาณของ ศปม. ปี 2563 ใช้งบกลางไป 259 ล้านบาท และปี 2564 อีก 206 ล้านบาท ซึ่งเอกสารจัดของบประมาณนั้นเป็นความลับทั้งหมดจนทำให้ตรวจสอบได้ยาก ทั้งที่กระทรวงกลาโหมได้รับงบประมาณในแต่ละปีมากกว่าสองแสนล้าน แต่ละปีก็ไม่เคยเบิกจ่ายจนจบ แล้วทำไมจึงมาขอค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโควิดเพิ่มอีก โดยพบว่างบประมาณที่ ศปม. ขอไปนั้นส่วนใหญ่เพื่อตอบแทนกำลังพล ตามข้อตกลงของกรมบัญชีกลางแล้วเบิกได้ตกวันละ 420 บาท แต่เอกสารเบิกเบี้ยเลี้ยงนั้นได้แค่วันละ 200 บาท ซึ่งไม่ตรงกับที่ตกลงไว้กับกรมบัญชีกลาง แต่กลับหาส่วนต่างไม่เจอ อยากถามว่ามีการอมเงินหรือไม่ ฝากไปถึงตำรวจทหารที่ถูกอมเงินก็ส่งข้อความมาหาตนได้” พิจารณ์กล่าว และระบุว่า
ส่วนตัวคิดว่า ศปม. อาจไม่ได้ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อคุมโควิด แต่เป็นเครื่องถอนเงินไว้เบิกจ่ายงบประมาณของหน่วยความมั่นคง เพราะหลังโควิดระลอกแรกซาลงไป ศปม. ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจแนะนำการผ่อนคลายให้ดำเนินการหรือทำกิจกรรม เพื่อให้ศูนย์ดังกล่าวยังมีภารกิจและเบิกจ่ายงบให้กำลังพลได้ แต่เราไม่มีทางรู้ว่า ศปม. ได้รับงบประมาณไปเท่าไร การตั้ง ศปม. จึงมีเพื่อขอรับงบประมาณ และอาจใช้เพื่อควบคุมฝูงชนให้อยู่ในระบอบปรสิตต่อไป
พิจารณ์กล่าวต่อว่า กระทรวงกลาโหมมีงบที่ทำโรงพยาบาลสนามเป็นเงิน 100 ล้านบาท โดยในวันที่ 12 เมษายนที่ผ่านมา โฆษกกระทรวงออกมาแถลงว่ามีเตียงโรงพยาบาลสนาม 3,000 หลัง และหากได้งบไป 100 ล้านก็จะทำเพิ่มอีก 7,000 หลัง ดังนั้นจึงควรจะมีทั้งหมด 10,000 เตียง แต่ในเดือนสิงหาคมก็มีเตียงเพียง 6,799 หลัง ทั้งที่มีผู้ป่วยกว่า 20,000 คนที่ไม่มีเตียง เรียนว่าหากกองทัพทำหน้าที่ได้ดีกว่านี้จะช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ โดยทั่วไปแล้วในยามสงคราม กองทัพควรมีองค์ความรู้ในการทำเตียงสนามได้อย่างรวดเร็วเพื่อดูแล รักษาชีวิตของกำลังพล และในภาวะที่เราสู้กับกองทัพเชื้อโรค กองทัพก็ควรจัดเตียงสนามให้ได้อย่างรวดเร็ว แต่กลับยังทำไม่ถึง 10,000 เตียง
พิจารณ์ยังกล่าวอีกด้วยว่า การบริหารงานที่ล้มเหลวของ พล.อ. ประยุทธ์ทำให้ภาพลักษณ์ของกองทัพและตำรวจตกต่ำลง และหลังจากที่ พล.อ. ประยุทธ์ทำรัฐประหารในปี 2557 อาชีพตำรวจ ทหารที่เคยมีเกียรติและได้รับความนิยมก็ตกลง สะท้อนจากปัจจุบันมีผู้สมัครเข้าโรงเรียนเตรียมทหารลดลงจากปี 2556 ถึง 60% ที่ผ่านมาการกระทำของ พล.อ. ประยุทธ์ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของตำรวจทหาร ตั้งแต่ทหารคลั่งกราดยิงโคราชเพราะมาจากปมทุจริตในกองทัพ ซึ่งตนเชื่อว่า พล.อ. ประยุทธ์รู้เรื่องมีการทุจริตแต่ไม่เคยแก้ไข ทั้งยังมีการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ท่ามกลางภาวะที่ประชาชนอดอยาก และประเด็นทหารเกณฑ์ที่มีคนเสียชีวิตไป 6 นายเมื่อปี 2563 นอกจากนี้เมื่อปี 2560 ก็มีการเสียชีวิตของนักเรียนเตรียมทหารที่จนปัจจุบันยังเอาคนผิดมาลงโทษไม่ได้เลย
พิจารณ์ได้ระบุเพิ่มเติมว่า เหตุการณ์ของ พ.ต.อ. ธิติสรรค์ อุทธนผล หรืออดีตผู้กำกับโจ้ ก็ทำให้ต้องตั้งคำถามต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อยากถามว่าที่ผ่านมานายกฯ ทำอะไรอยู่ ทำไมไม่มีการปรับปรุง ปฏิรูปตำรวจและกองทัพ คนที่อยู่ในกองทัพและรับราชการทหารมาทั้งชีวิตอย่าง พล.อ. ประยุทธ์จะไม่รู้เรื่องการทุจริตในกองทัพได้อย่างไร ไม่ว่าจะเรื่อง ททบ. 5, สนามม้า, สนามมวย, สนามกอล์ฟ และทำธุรกิจขุดน้ำมันที่เชียงใหม่ ดังนั้น คนที่ทำให้ภาพลักษณ์ทหารตำรวจแย่ลงคือ พล.อ. ประยุทธ์
พิจารณ์กล่าวว่า สิ่งที่ พล.อ. ประยุทธ์ กำลังทำต่อกองทัพไม่ได้เป็นการสร้างกองทัพให้ทันสมัยหรือมืออาชีพ ไม่ได้อยากสร้างคนรุ่นใหม่มาเป็นทหารหรือตำรวจที่มีเกียรติ แต่เป็นกองทัพที่สยบยอมต่ออำนาจของประยุทธ์และเครือข่ายต่อระบอบปรสิต และต้องการคนที่ยึดโยงขั้วอำนาจของตนและระบบอุปถัมป์ พร้อมทำตามคำสั่งนายไม่ว่าจะถูกหรือผิด เริ่มจากการคัดเลือกกลุ่มคนผ่านการเข้าเรียนที่เตรียมทหาร
“ผมพบว่าคำถามในการสอบสัมภาษณ์ปีนี้ต่างไปจากปีก่อนที่มักถามว่าทำไมอยากเป็นทหาร หรือตำรวจ แต่ปีนี้มีคำถามเพื่อประเมินความจงรักภักดี นอกจากนี้ยังถามความเห็นต่อม็อบสามนิ้ว และความเห็นต่อการทำงานของ พล.อ. ประยุทธ์ และมีคำถามที่เชื่อว่าเป็นการคัดคนที่มีความหลากหลายทางเพศ หรือมีทัศนคติในแง่บวกต่อกลุ่มคนหลากหลายทางเพศออกไป และอาจทำให้กองทัพได้แต่คนที่เหยียดเพศ ไม่เคารพสิทธิมนุษยชนเข้าไปในกองทัพ” พิจารณ์กล่าว
พร้อมกันนี้ พิจารณ์ได้เปิดคลิปเสียงที่มีนายทหาระดับนายพล ระบุว่าคนรุ่นใหม่เป็นภัยคุกคาม หรือมีคำถามที่เอ่ยอ้างถึงกลุ่มคนหลากหลายทางเพศ ตนถือว่านี่เป็นการที่ พล.อ. ประยุทธ์ เอางบแผ่นดินไปบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชังเพื่อสั่งสมอำนาจตัวเอง และคัดเอาแต่คนที่พร้อมจะสงบยอมต่ออำนาจตนกับระบบปรสิตเท่านั้น ไม่ควรให้อนาคตของกองทัพและตำรวจไปอยู่ในมือของ พล.อ. ประยุทธ์ และอยากให้ พล.อ. ประยุทธ์ หยุดใช้ความจงรักภักดีมาปกปิดพฤติกรรมต่างๆ แล้วผลักคนเห็นต่างว่าชังชาติ
นอกจากนี้ พิจารณ์ยังระบุถึงประเด็นงบประมาณในการจัดหาจัดซื้อยุทโธปกรณ์ด้วย เช่น เครื่องบินลำเลียงที่มีส่วนต่าง 100 ล้านบาท ซึ่งไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน ทั้งยังมีการพยายามซ่อมรถบรรทุกรุ่น M35 จากยุคสงครามเวียดนาม จำนวน 259 คัน โดยใช้งบประมาณ 518 ล้านบาท โดยไม่มีใครทราบผลสัมฤทธิ์ที่ได้จากการซ่อมรถบรรทุกเลย โดยพบว่าส่วนต่างราคาเครื่องยนต์คันละ 400,000 บาท รวมเป็นเงิน 100 ล้านบาท ทั้งยังมีการโกหกต่างประเทศว่ารถบรรทุกรุ่น KM250 จะเลิกใช้ และไม่สามารถจัดซื้อยุทโธปกรณ์ในช่วงโควิดได้ อยากถามว่าทำเช่นนี้จะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือไม่
พิจารณ์กล่าวว่า ประเทศชาติกับประชาชนบอบช้ำมาเยอะจากการบริหารงานของ พล.อ. ประยุทธ์ กระทั่งกระทรวงกลาโหม สำนักงานตำรวจ หน่วยงานเรื่องความมั่นคงที่น่าจะเป็นเรื่องถนัดของ พล.อ. ประยุทธ์ก็ยังได้รับความเสียหายจากการบริหารที่ไร้ความสามารถ ไม่กล้าแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ไม่กล้าปฏิรูปกองทัพและตำรวจ ทั้งยังเป็นหัวหอกในการทุจริต เป็นผู้นำที่ไม่มีคุณธรรม ไร้จริยธรรม สะสมอำนาจและพวกพ้องผ่านการทุจริตและคอร์รัปชัน
“ต่อให้กระทรวงกลาโหมจะได้งบมากกว่านี้ แต่เราก็จะไม่ได้กองทัพที่เข้มแข็ง ทันสมัย และมีศักยภาพ ไม่ได้กองทัพที่ยืนข้างประชาชน และยึดมั่นในหลักการประชาธิปไตย ตราบใดที่เรายังปล่อยให้ประยุทธ์อยู่ในอำนาจ ดังนั้นจึงต้องหยุดประยุทธ์เพื่ออนาคตใหม่ของพี่น้องประชาชน” พิจารณ์กล่าวทิ้งท้าย