เศรษฐกิจจีนจะไม่แซงหน้าสหรัฐอเมริกาจนกว่าจะถึงปี 2036 ช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ถึง 6 ปี เหตุนโยบายโควิดเป็นศูนย์ของจีน และความตึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มขึ้นกับฝั่งตะวันตก ทำให้การขยายตัวของจีนช้าลง นอกจากนี้ CEBR ยังฟันธงว่าโลกจะเผชิญกับภาวะถดถอยในปี 2023 เนื่องจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยกำราบเงินเฟ้อ อาจทำให้เศรษฐกิจหลายประเทศหดตัว
ตามรายงานจากศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (CEBR) ประเมินว่าจีนไม่น่าจะแซงหน้าสหรัฐฯ ขึ้นเป็นเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก จนกว่าจะถึงปี 2036 อย่างเร็วที่สุด นับว่าช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ถึง 6 ปี สะท้อนว่านโยบายโควิดเป็นศูนย์ของจีน และความตึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มขึ้นกับฝั่งตะวันตก ทำให้การขยายตัวของจีนช้าลง
เดิมที CEBR คาดว่าจีนจะแซงหน้าสหรัฐฯ ภายในปี 2028 ก่อนจะเลื่อนไปเป็นปี 2030 เมื่อปีที่แล้ว แต่ตอนนี้กลับเลื่อนไปจนถึงปี 2036 หรือหลังจากนั้น หากปักกิ่งพยายามเข้าควบคุมไต้หวัน และเผชิญกับการคว่ำบาตรทางการค้า
CEBR กล่าวอีกว่า “ผลของสงครามเศรษฐกิจระหว่างจีนและชาติตะวันตกจะรุนแรงกว่าที่เราได้เห็นจากรัสเซียโจมตียูเครนหลายเท่า และน่าจะนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างรุนแรงของโลก และการฟื้นตัวของอัตราเงินเฟ้อ แต่ความเสียหายต่อจีนจะมากกว่านั้นหลายเท่า และสิ่งนี้อาจทำลายความพยายามของจีนที่จะขึ้นเป็นผู้นำเศรษฐกิจโลกได้”
รายงานยังทำนายว่าอินเดียจะกลายเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก โดยมี GDP แตะ 10 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2035 หรือภายใน 13 ปีข้างหน้า
ฟันธงโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยแน่ในปี 2023
นอกจากนี้ CEBR ยังระบุว่าเศรษฐกิจโลกมีขนาดทะลุ 100 ล้านล้านดอลลาร์แล้ว เป็นครั้งแรกในปี 2022 แต่จะหยุดชะงักในปี 2023 เนื่องจากผู้กำหนดนโยบายยังคงต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น
ขณะที่ Kay Daniel Neufeld ผู้อำนวยการและหัวหน้าฝ่ายพยากรณ์ของ CEBR กล่าวว่า มีแนวโน้มว่าเศรษฐกิจโลกจะเผชิญกับภาวะถดถอยในปีหน้า อันเป็นผลมาจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น
รายงานยังเสริมว่าการต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อยังไม่ได้รับชัยชนะ พร้อมคาดว่าธนาคารกลางจะยึดมั่นในแนวทางเดิมต่อไปในปี 2023 แม้ว่าจะมีต้นทุนทางเศรษฐกิจก็ตาม โดยต้นทุนในการทำให้อัตราเงินเฟ้อลดลงคือแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แย่ลงไปอีกหลายปีข้างหน้า
รายงานนี้มองโลกในแง่ร้ายมากกว่าการคาดการณ์ล่าสุดจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เมื่อเดือนตุลาคม ที่ระบุว่ามากกว่า 1 ใน 3 ของเศรษฐกิจโลกจะหดตัว และมีโอกาส 25% ที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) โลกจะเติบโตน้อยกว่า 2% ในปี 2023 ซึ่งถือเป็นภาวะถดถอยทั่วโลก
กระนั้น GDP ของโลกคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าในปี 2037 หรือภายใน 15 ปี เนื่องจากเศรษฐกิจประเทศกำลังพัฒนาจะขยายตัวไล่ตามประเทศที่ร่ำรวยกว่า โดยดุลอำนาจที่เปลี่ยนไปจะทำให้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกมีสัดส่วนมากกว่า 1 ใน 3 ของ GDP โลกภายใน 15 ปี ขณะที่ส่วนแบ่งของยุโรปจะลดลงเหลือน้อยกว่า 1 ใน 5
ทั้งนี้ CEBR ใช้ข้อมูลพื้นฐานจาก World Economic Outlook ของ IMF และใช้แบบจำลองภายในเพื่อคาดการณ์การเติบโต อัตราเงินเฟ้อ และอัตราแลกเปลี่ยน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- มาตรการคุมโควิดของจีนจ่อฉุดดีมานด์สินค้าโภคภัณฑ์ ตั้งแต่น้ำมัน เหล็ก ถึงถ่านหิน ซึ่งมักพุ่งสูงในช่วงฤดูหนาว
- จริงหรือที่ ‘อินเดีย’ กำลังจะเป็นโรงงานของโลกแห่งใหม่ต่อจากจีน? ถึงขั้นที่การผลิต 1 ใน 4 ของ ‘iPhone’ จะย้ายมาที่นี่ภายในปี 2025
- สีจิ้นผิง ขึ้นเวที G20 เรียกร้องประชาคมโลกจับมือฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม
อ้างอิง: