ดราม่าร้อนแรงในแวดวงการลงทุนไทยช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้นักลงทุนต้องกลับมาตั้งคำถามเกี่ยวกับหุ้นที่ตัวเองกำลังถือหรือสนใจอยู่ ว่าเป็นหุ้นที่ถูก Corner หรือไม่?
การดิ่งลงของหุ้นที่ถูกเรียกรวมๆ กันว่า ‘หุ้นตระกูล J’ ได้แก่ JMART, JMT, SINGER, SGC และ J โดยเฉพาะเมื่อช่วงปลายสัปดาห์ก่อน นำไปสู่เหตุการณ์ที่ถูกเรียกว่า ‘Corner แตก’ ซึ่งอธิบายง่ายๆ ก็คือการที่หุ้นที่เคยถูกเชื่อว่าดีสุดยอดถูกเทขายออกมาจนราคาดิ่งลงอย่างหนัก ตามมุมมองของ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนหุ้นคุณค่า (Value Investor) หรือ VI
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ‘เทศกาลปั่นหุ้น’ เจ้ามือรวย คนเล่นเจ๊ง ดร.นิเวศน์ เผย 4 คุณสมบัติหุ้นที่เอื้อต่อการถูก Corner แนะหลีกเลี่ยง
- ‘อดิศักดิ์’ เปิดใจขาย Big Lot หุ้น JMART เหตุโดน Margin Call จริง แจงเป็นปัญหาส่วนตัวไม่กระทบบริษัท ยันมีฐานทุนแข็งแรง
- ก.ล.ต. กล่าวโทษผู้ทำผิด 18 ราย ฐาน ‘ปั่นหุ้น’ MORE กับ บก.ปอศ. หลังตรวจพบหลักฐานส่งคำสั่งซื้อขายผิดกฎหมาย
แต่ก่อนที่หุ้นหนึ่งๆ จะเดินมาสู่วัน Corner แตก หุ้นเหล่านี้จะต้องผ่านช่วงก่อนที่จะถูก Corner เข้าสู่ช่วงเวลาแห่งความคลั่งไคล้ ดันให้ราคาหุ้นพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะกลับมาสู่ความเป็นจริงอีกครั้ง
แม้ว่าในตอนท้ายหุ้นที่ถูก Corner หลายตัวอาจต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่ราคาหุ้นดิ่งหนัก และสร้างความเสียหายให้กับนักลงทุนหลายรายที่เข้าไปไล่ซื้อในช่วงที่ราคาทะยานขึ้นไปแล้ว แต่ในความเป็นจริงแล้วหุ้นที่ถูก Corner เหล่านี้ใช่ว่าจะเป็นหุ้นไม่ดี
“ไม่ใช่ว่าไม่ดี หุ้นมันดี ไม่อย่างนั้นคงไม่ถูกทำ Corner และถ้าจะคาดหวังให้มีคนเข้ามาซื้อหุ้นต่อ หุ้นจะต้องดีด้วย” ประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บลจ.เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์ กล่าวถึงพื้นฐานธุรกิจของหุ้นที่ถูกทำ Corner
เพียงแต่ว่าราคาของหุ้นที่ถูกทำ Corner มักจะลอยสูงอยู่เหนือปัจจัยพื้นฐาน และผลประกอบการไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทันใจ
อย่างกรณีของหุ้นกลุ่ม JMART ประกิตมองว่า “(ราคาหุ้น) ถือว่าไม่ถูก ราคาที่วิ่งขึ้นมาแบบนี้ไม่ได้เรียกว่าถูกแน่นอน แต่นักลงทุนอาจยอมซื้อเพื่อแลกกับความคาดหวัง”
แต่สิ่งหนึ่งที่นักลงทุนต้องไม่ลืมคือ การที่หุ้นใดหุ้นหนึ่งถูกทำ Corner หมายความว่ามีนักลงทุนรายใหญ่ที่อาจจะใช้มาร์จิ้นเข้ามาช่วยเพิ่มอำนาจในการซื้อ และการที่คุณเข้าไปซื้อหุ้นต่อจากเขาก็มีโอกาสที่เขาจะขายใส่ได้เช่นกัน
และการที่ราคาหุ้นถูกดันขึ้นไปด้วยการใช้มาร์จิ้น ในอีกด้านหนึ่งเมื่อราคาหุ้นลดลงมาอย่างหนักย่อมมีความเสี่ยงที่นักลงทุนรายใหญ่ (ที่ใช้มาร์จิ้นซื้อหุ้น) จะถูกเรียกให้เติมหลักประกันหรือถูกบังคับขายออกมาได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งจะเป็นการซ้ำเติมการเทขายที่กำลังเกิดขึ้น
2 สัญญาณ Corner แตก
ย้อนกลับมาที่เหตุการณ์ Corner แตกของหุ้นตระกูล J ประกิตมองว่าเกิดจากหลายสาเหตุ แต่สาเหตุหลักมีอยู่ 2 ส่วน คือ
- ผลประกอบการออกมาผิดไปจากความคาดหวัง ก่อนหน้าที่ราคาหุ้นจะร่วงลงหนัก หุ้นซึมลงต่อเนื่อง เป็นเพราะงบการเงินก่อนหน้านี้ออกมาผิดคาด แต่ก็ยังมีคนเชื่อว่าจะกลับมาดีขึ้นได้ แต่สุดท้ายเมื่องบออกมาผิดคาดซ้ำอีก จึงทำให้คนส่วนหนึ่งไม่ทนอีกแล้วและขายหุ้นออกมา
- การแตกแถวของกลุ่ม โดยปกติการทำ Corner หุ้นมักจะเป็นกลุ่มของนักลงทุนที่ช่วยกันซื้อ ซึ่งไม่ได้เป็นเรื่องที่ผิดกฎเกณฑ์ใดๆ แต่เมื่อเริ่มมีการขายเกิดขึ้นก็จะกระตุ้นให้คนอื่นๆ ขายตาม
อย่างไรก็ตาม หุ้นที่ถูกทำ Corner ทุกตัวอาจจะไม่ต้องเผชิญจุดจบแบบ Corner แตกเสมอไป
“ถ้าเป็นหุ้นที่ Free Float ต่ำมาก เหลือหุ้นแค่ส่วนน้อยให้กับรายย่อย แรงขายจะไม่มีนัยสำคัญ ตราบใดที่ก๊วนไม่แตก ราคาหุ้นไม่จำเป็นต้องลง ส่วนใหญ่ที่ลงเพราะงบไม่โตเร็วอย่างที่คิดและก๊วนแตก” ประกิตกล่าว
4 จุดสังเกตหุ้นเข้าข่ายถูก Corner
สำหรับวิธีสังเกตว่าหุ้นแบบใดที่กำลังถูกทำ Corner ในมุมของ ดร.นิเวศน์ มองว่า
- มีหุ้นหมุนเวียนในตลาดน้อย
- มีเรื่องราวของการเข้าไปทำธุรกิจแห่งอนาคต หรือกำไรจะเติบโตก้าวกระโดด
- ผู้ถือหุ้นใหญ่ 5 อันดับแรกถือหุ้นรวมกันในสัดส่วนที่มาก
- ราคาหุ้นสูงมากเทียบกับพื้นฐาน หรืออัตราส่วนทางการเงินอย่าง P/E สูงลิ่ว
“หุ้นที่ถูก Corner ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นดี ไม่ใช่หุ้นไม่ดี กิจการต้องเติบโตดี เพียงแต่ราคาสูงเกินไปมาก เพราะนักลงทุนมีความเชื่อว่าจะดี” ดร.นิเวศน์กล่าว
ทีนี้นักลงทุนจะรู้ได้อย่างไรว่าหุ้นที่เคยถูก Corner กำลังแตกออกแล้ว?
“จุดที่ Corner เริ่มแตก คือวันที่ราคาหุ้นตกพรวด ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น สะท้อนว่ามีคนกำลังทิ้งหุ้นเพื่อขายทำกำไร” ดร.นิเวศน์กล่าว
แล้วหลังจากที่ Corner แตกแล้ว หุ้นเหล่านั้นจะเป็นอย่างไรต่อไป ดร.นิเวศน์ มองว่าหุ้นบางตัวที่เคยถูก Corner อาจจะถูกวนกลับมาซื้อใหม่อีกได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับว่าปัจจัยพื้นฐานของหุ้นนั้นๆ จะเป็นอย่างไรต่อไป
ทั้งนี้ การทำ Corner หุ้นอาจมีให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง แต่ในมุมของ ดร.นิเวศน์ มองว่าอาจจะไม่ใช่เรื่องที่เป็นปกตินัก เพราะทำให้การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นหวือหวามากจากภาวะที่อุปสงค์และอุปทานไม่สมดุลกันในช่วงสั้น แต่หลังจากที่ราคาวิ่งขึ้นเกือบทุกวัน ตามมาด้วยสตอรีและการเข้ามาของคนจำนวนมาก ถึงจุดหนึ่งเราอาจจะไม่สนใจแล้วว่าราคาหุ้นเป็นเท่าใด ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องระมัดระวัง