ปรัก สุคน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศของกัมพูชา กล่าวสุนทรพจน์ในการอภิปรายทั่วไปของการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 80 ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก วานนี้ (27 กันยายน) โดยเน้นย้ำความสำคัญของสันติภาพ และความมุ่งมั่นของกัมพูชาในการเสริมสร้างระบอบประชาธิปไตย
พร้อมกันนี้ ยังกล่าวถึงกรณีความขัดแย้งชายแดน ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา ไม่ระบุชื่อประเทศไทยตรงๆ แต่ระบุว่าเป็น “ความขัดแย้งทางชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน” โดยกล่าวหาว่า ไทยยังคงมีการเคลื่อนไหวฝ่ายเดียวอย่างต่อเนื่องเพื่อกำหนดอธิปไตยเหนือดินแดน” และใช้กำลังทหารแทนกลไกทวิภาคีที่ตกลงกันไว้ รวมถึงมีการใช้แผนที่ฝ่ายเดียว แทนแผนที่ที่ได้รับการรับรองในระดับนานาชาติที่จัดทำขึ้นตามสนธิสัญญาที่ผูกมัดทั้งสองประเทศ
“น่าเศร้าที่ยังคงมีการเคลื่อนไหวฝ่ายเดียวอย่างต่อเนื่อง เพื่อกำหนดอธิปไตยเหนือดินแดนจากเพื่อนบ้าน โดยใช้กำลังทหารแทนกลไกที่ตกลงกันไว้ ใช้แผนที่ฝ่ายเดียวแทนแผนที่ที่ได้รับการรับรองในระดับนานาชาติที่จัดทำขึ้นตามสนธิสัญญาที่ผูกมัดทั้งสองประเทศ และการกระทำอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วนที่บ่อนทำลายความพยายามในการสร้างความไว้วางใจและสันติภาพเหล่านี้” เขากล่าว
นอกจากนี้ ปรัก สุคน ยังอ้างว่าฝ่ายไทยบังคับขับไล่พลเรือนชาวกัมพูชา ออกจากพื้นที่ที่อาศัยอยู่มานานหลายทศวรรษและยังไม่ได้มีการปักปันเขตแดน และชี้ว่าการที่ไทยเข้าควบคุมพื้นที่ดังกล่าวของไทย แสดงให้เห็นถึงการเพิกเฉยอย่างชัดเจน ต่อเงื่อนไขของการหยุดยิงและข้อตกลงร่วมกันในการยุติปัญหาชายแดน
“สิ่งที่น่ากังวลอย่างยิ่งคือการบังคับขับไล่พลเรือนชาวกัมพูชา และการข่มขู่ว่าจะใช้กฎหมายแห่งชาติกับพวกเขา และขับไล่พลเรือนอีกหลายร้อยคนออกจากดินแดนที่พวกเขาอาศัยอยู่มานานหลายทศวรรษ การควบคุมดินแดนในพื้นที่ชายแดนที่ยังไม่ได้กำหนดเขตเช่นนี้ แสดงให้เห็นถึงการเพิกเฉยอย่างชัดเจน ไม่เพียงแต่ต่อเงื่อนไขของการหยุดยิงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงข้อตกลงร่วมกันในการยุติปัญหาชายแดนด้วย”
“อำนาจอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของกัมพูชาถูกละเมิด สิทธิและศักดิ์ศรีของชาวกัมพูชาจำนวนมากก็ถูกละเมิด กัมพูชาได้ปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัดและสม่ำเสมอ แสดงให้เห็นถึงความซื่อสัตย์สุจริตและความโปร่งใสอย่างเต็มที่ในการปฏิบัติตามข้อตกลง เราได้ใช้ความยับยั้งชั่งใจอย่างที่สุด แม้จะเผชิญกับเหตุการณ์และการยั่วยุซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา ยังกล่าวถึงเหตุการณ์ยิงโจมตีที่เกิดขึ้นล่าสุด โดยยืนยันว่าทหารกัมพูชาไม่ได้เปิดฉากยิงก่อน และไม่มีการยิงตอบโต้ใดๆ ซึ่งตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นในการสร้างสันติภาพ
“เมื่อเช้านี้เอง ได้เกิดการโจมตีโดยไม่ได้รับการยั่วยุใกล้กับพื้นที่อ่อนไหวแห่งหนึ่ง หลังจากมีข้อกล่าวหาว่า กองกำลังของเราเปิดฉากยิงก่อน กองกำลังของเราไม่ได้ยิงและยังคงงดเว้นการตอบโต้ใดๆ ซึ่งตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของเราในการสร้างสันติภาพ ด้วยจิตวิญญาณเดียวกันกับที่ยุติความขัดแย้งภายในเมื่อเกือบสามทศวรรษก่อน กัมพูชาขอยืนยันอีกครั้งถึงข้อเรียกร้องการเจรจาและการยุติปัญหาที่คั่งค้างทั้งหมดอย่างสันติ”
โดยเขายังเรียกร้องให้มีการยึดมั่นในเงื่อนไขการหยุดยิงที่ตกลงกันไว้อย่างเคร่งครัดและจริงใจ เคารพข้อตกลงทวิภาคีอย่างเต็มที่ และปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศ รวมถึงกฎบัตรของทั้งสหประชาชาติและอาเซียน และเรียกร้องการสนับสนุนจากประธานอาเซียน สมาชิกอาเซียน เลขาธิการสหประชาชาติ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของสหประชาชาติ รวมถึงผู้นำทั่วโลก เพื่อช่วยลดความตึงเครียด และส่งเสริมการแก้ไขปัญหาอย่างสันติ
“กัมพูชาเป็นประเทศเล็กๆ ที่มุ่งเน้นการฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน เราไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่ออำนาจอธิปไตยของประเทศใดๆ แม้ว่าเราจะปกป้องเอกราช อำนาจอธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดนของเราอยู่เสมอ แต่การใช้กำลังยังคงเป็นทางเลือกสุดท้าย กัมพูชาจะยังคงพยายามทุกวิถีทางเพื่อฟื้นฟูความไว้วางใจและความปกติ ส่งเสริมการอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืนและความสัมพันธ์อันดีระหว่างเพื่อนบ้าน และเปลี่ยนพื้นที่ชายแดนให้เป็นเขตแห่งสันติภาพ มิตรภาพ ความร่วมมือ และความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน”
อย่างไรก็ตาม ทางด้านสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ตอบโต้ข้อกล่าวหาของฝ่ายกัมพูชา โดยระบุว่ากัมพูชานั้นแสดงตนเป็นเหยื่อ และนำเสนอข้อเท็จจริงในแบบฉบับของตนเอง ซึ่งไม่สามารถตรวจสอบได้ เพราะสิ่งที่กล่าวเป็นการบิดเบือนความจริง
“เราต่างรู้ว่าใครคือผู้ถูกกระทำที่แท้จริง ผู้ถูกกระทำที่แท้จริงคือ ทหารไทยที่ต้องสูญเสียขาจากทุ่นระเบิด คือเด็ก ๆ ที่โรงเรียนถูกโจมตี และประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่กำลังจับจ่ายซื้อของในวันนั้นที่ร้านสะดวกซื้อที่ถูกโจมตีจากจรวดของฝ่ายกัมพูชา” สีหศักดิ์ กล่าว และชี้ว่า “ข้อกล่าวหาของกัมพูชานั้นเป็นสิ่งที่คลาดเคลื่อนอย่างมากจนทำให้ความจริงดูเหมือนเป็นเรื่องตลก”
กรณีการบังคับขับไล่พลเรือนกัมพูชานั้น สีหศักดิ์ชี้แจงว่า หมู่บ้านที่กัมพูชาอ้างถึงในคำกล่าวก่อนหน้านี้ตั้งอยู่ในเขตแดนของประเทศไทย โดยตามข้อเท็จจริง หมู่บ้านเหล่านั้นเกิดขึ้นเพราะ ประเทศไทยได้ตัดสินใจด้วยเหตุผลทางมนุษยธรรมที่จะเปิดชายแดนในช่วงปลายทศวรรษ 1970 เพื่อให้ประชาชนหลายแสนคนได้หลบหนีจากสงครามกลางเมืองและมีที่พักพิงในประเทศไทย
“เราได้ตัดสินใจบนหลักการของความเมตตาและมนุษยธรรม ผมได้เห็นภาพดังกล่าวด้วยตนเอง เมื่อครั้งผมยังเป็นเพียงเป็นนักการทูตผู้น้อย”
“แม้ว่าสงครามกลางเมืองได้สิ้นสุด และที่พักพิงได้ปิดตัวลง แต่หมู่บ้านของกัมพูชายังคงขยายขอบเขตตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา และแม้ว่าประเทศไทยได้พยายามที่จะประท้วงอย่างต่อเนื่อง แต่ฝ่ายกัมพูชายังคงเพิกเฉยต่อข้อเรียกร้องที่จะจัดการกับปัญหาการบุกรุกดังกล่าว”
ส่วนกรณีการละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยการยั่วยุและยิงโจมตีล่าสุดนั้น สีหศักดิ์ ยืนยันว่า ฝ่ายกัมพูชายังคงยั่วยุอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงการระดมพลเรือนเข้ามาในเขตแดนของไทยและยิงเข้ามาทางฝั่งไทย
“ถือเป็นการบ่อนทำลายสันติภาพและความมั่นคงตามแนวชายแดน ผมหมายความถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน 2568 ที่กองกำลังกัมพูชาได้ยิงใส่กองกำลังไทยที่ประจำอยู่บริเวณชายแดน โดยเหตุการณ์ล่าสุดเกิดขึ้นในวันนี้ กองกำลังไทยยังได้ตรวจพบโดรนลาดตระเวนของฝ่ายกัมพูชาที่บุกรุกเข้ามาดินแดนไทยทุกวันบริเวณชายแดน การกระทำดังกล่าวถือเป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย และข้อตกลงหยุดยิงที่ได้เห็นชอบร่วมกันในการประชุมสมัยพิเศษที่เมืองปุตราจายา มาเลเซีย และได้รับการยืนยันอีกครั้งในการประชุมคณะกรรมการชายแดนระดับทวิภาคี”
ภาพ : REUTERS/Caitlin Ochs