ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชายังคงระอุต่อเนื่อง ล่าสุดกัมพูชาได้ยื่นเรื่องข้อพิพาท 4 พื้นที่ ได้แก่ ช่องบก, ปราสาทตาเมือนธม, ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย ให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (อังกฤษ: International Court of Justice: ICJ) หรือศาลโลกตัดสินอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 16 มิถุนายนที่ผ่านมา แม้ไทยจะยืนยันมาโดยตลอดว่าไม่ยอมรับเขตอำนาจศาลโลกในกรณีพิพาทดังกล่าวก็ตาม
จากสถานการณ์ดังกล่าวนี้ เมื่อวันที่ 17 มิถุนายนที่ผ่านมา คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดเสวนาในหัวข้อ ‘ประเทศไทยกับการระงับข้อพิพาทที่ศาลโลก’ โดย 3 คณาจารย์ หมวดวิชากฎหมายระหว่างประเทศ ประกอบด้วย ผศ. ดร.ภาวัฒน์ สัตยานุรักษ์, ผศ. ดร.ปภาวดี ธโนดมเดช และ อาจารย์อินทัช ศิริวัลลภ
ทำความรู้จัก ‘ศาลโลก’ ที่ไทยไม่ยอมรับเขตอำนาจ
ผศ. ดร.ภาวัฒน์ สัตยานุรักษ์ ได้อธิบายว่า ศาลโลก (ICJ) เป็นองค์กรตุลาการขององค์การสหประชาชาติ (UN) ตามข้อ 92 ของกฎบัตรสหประชาชาติ รัฐสมาชิก UN ทุกรัฐเป็นภาคีธรรมนูญของศาลโลกโดยอัตโนมัติ แต่การเป็นภาคีธรรมนูญนั้น ก็ไม่จำเป็นจะต้องยอมรับเขตอำนาจศาลโลก นอกจากนี้กฎบัตร UN มาตรา 33 กำหนดให้รัฐสมาชิกระงับข้อพิพาทโดยสันติวิธีอื่นได้หลากหลาย ไม่ได้บังคับว่าต้องไปศาลโลกเพียงอย่างเดียว
ทั้งนี้ มีวิธีการที่รัฐจะยอมรับเขตอำนาจศาลโลกมี 4 วิธีหลัก ดังนี้
- ความตกลงพิเศษ (Special Agreement): คู่กรณีตกลงกันเป็นพิเศษเพื่อนำข้อพิพาทเฉพาะเรื่องขึ้นสู่ศาล เช่น กรณีพิพาทเกาะบอร์เนียวตะวันออกระหว่างอินโดนีเซีย และมาเลเซียที่ทั้งสองฝ่ายยินยอมให้ศาลโลกตัดสิน
- การยอมรับเขตอำนาจศาลภาคบังคับ (Optional Clause Declaration/Optional Clause): รัฐทำคำประกาศฝ่ายเดียวว่าจะยอมรับเขตอำนาจศาลโลกภาคบังคับสำหรับข้อพิพาททางกฎหมายกับรัฐอื่นที่ได้ทำคำประกาศยอมรับในลักษณะเดียวกัน โดยรัฐอาจมี ‘ข้อสงวนหรือเงื่อนไข’ เช่น จำกัดประเภทข้อพิพาทหรือระยะเวลาการยอมรับ ตัวอย่าง เช่น กัมพูชาเป็นประเทศที่ยอมรับเขตอำนาจศาลโลกแบบมีเงื่อนไขว่า ‘หากเกิดข้อพิพาทอื่นใด อาจเลือกใช้วิธีระงับข้อพิพาทโดยสันติวิธีอื่นแทน’
- ข้ออนุญาโตตุลาการ/ข้อกำหนดเขตอำนาจศาลในสนธิสัญญา (Compromissory Clauses): สนธิสัญญาบางฉบับมีข้อกำหนดที่ระบุว่า หากเกิดข้อพิพาทเกี่ยวกับการตีความหรือการบังคับใช้สนธิสัญญานั้น คู่กรณีสามารถนำเรื่องขึ้นศาลโลกได้โดยไม่ต้องตกลงกันใหม่ เพราะถือว่าได้ให้ความยินยอมไว้ล่วงหน้าแล้วตั้งแต่ตอนลงนามในสนธิสัญญา
- การยอมรับเขตอำนาจศาลโดยพฤติการณ์ (Forum Prorogatum): เป็นกรณีที่รัฐที่ถูกฟ้องไม่ได้ให้ความยินยอมชัดเจน แต่แสดงพฤติการณ์ที่ตีความได้ว่าเป็นการยอมรับเขตอำนาจศาลในคดีนั้นๆ เช่น กรณีพิพาทระหว่างสหราชอาณาจักรและอัลบาเนีย ที่อัลบาเนียไม่ได้ยอมรับเขตอำนาจศาลโลก แต่แถลงการณ์พร้อมเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาล ซึ่งถือเป็นการยอมรับโดยพฤติการณ์
กัมพูชายื่นฟ้องศาลโลกแล้ว ไทยต้องไปหรือไม่
ผศ. ดร.ภาวัฒน์ ให้คำตอบว่า “ไม่จำเป็น” เมื่อกัมพูชายื่นฟ้องคดี ศาลโลกก็จะยังไม่ดำเนินการใดๆ จนกว่าจะได้รับการยอมรับจากรัฐบาลไทย และเน้นย้ำว่าหากไทยไม่ต้องการไปศาลโลกจริงๆ จะต้องระมัดระวังการสื่อสารหรือแสดงท่าทีใดๆ ที่สามารถถูกตีความว่าเป็นการยินยอม
ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า ไทยไม่จำเป็นต้องไปศาลโลก เพียงแค่ต้องระวังพฤติการณ์ของตนเองเท่านั้น การที่กัมพูชายื่นเรื่องต่อศาลโลกครั้งนี้ จึงอาจเป็นเพียงการ ‘สร้างคอนเทนต์’ ในเชิงการเมืองระหว่างประเทศเพื่อกดดันให้ไทยยินยอมเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาลโลก
เขาพระวิหาร ทำไมไทยไปศาลโลก?
ผศ. ดร.ปภาวดี ธโนดมเดช อธิบายย้อนอดีตถึงคดีปราสาทเขาพระวิหารปี พ.ศ. 2505 (ค.ศ. 1962) ซึ่งศาลโลกตัดสินคดี ดังนี้
- ตัวปราสาทพระวิหาร ‘ตั้งอยู่’ ในเขตกัมพูชา
- ไทยมีพันธกรณีต้องถอนกำลังทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่อื่นออกจากปราสาท หรือ “บริเวณโดยรอบปราสาทที่อยู่ในดินแดนกัมพูชา”
- ไทยมีพันธกรณีต้องคืนวัตถุที่นำมาจากปราสาทพระวิหารแก่กัมพูชาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2497
เมื่อคดีเขาพระวิหารถูกนำกลับมาเป็นประเด็นอีกครั้งในปี 2554-2556 เมื่อกัมพูชายื่นเรื่องขอให้ศาลโลก ‘ตีความ’ คำพิพากษาเดิมปี 2505 โดยเฉพาะคำว่า “บริเวณโดยรอบปราสาทที่อยู่ในดินแดนกัมพูชา” ซึ่งทั้งสองประเทศตีความแตกต่างกัน
กัมพูชาอ้างถึงแผนที่ภาคผนวก 1 (แผนที่มาตราส่วน 1:200,000) ว่ามีผลผูกพันเป็นเส้นเขตแดนที่ระบุให้ปราสาทและบริเวณโดยรอบอยู่ในดินแดนกัมพูชาและรวมถึงพื้นที่ พนมตรับ (Phnom Trap) ด้วย แต่ไทยโต้แย้งว่าคำตัดสินปี 2505 ไม่ได้กำหนดสถานะของเส้นเขตแดนตามแผนที่ดังกล่าว และไทยไม่เคยยอมรับแผนที่นี้ในฐานะเส้นเขตแดน
ผศ. ดร.ปภาวดี อธิบายเพิ่มว่า ในปี 2556 ศาลไม่ได้ตัดสินว่าเส้นบนแผนที่ภาคผนวก 1 เป็นเส้นเขตแดนที่ผูกพัน แต่ศาลได้ ตีความคำว่า “บริเวณโดยรอบปราสาท” นั้นรวมถึง “ภูเขาที่เป็นที่ตั้งของตัวปราสาท” ทั้งหมด โดยใช้ลักษณะภูมิประเทศเป็นหลัก ไม่ได้ผูกพันตามแผนที่ภาคผนวก 1 ทั้งหมด และศาลก็ไม่ได้ตัดสินว่าบริเวณนี้รวมถึงพื้นที่พนมตรับ ตามที่กัมพูชาตีความ
ดังนั้น ในคดีปี 2556 ศาลได้ตีความคำพิพากษาเดิมเฉพาะคำว่า “บริเวณโดยรอบปราสาท” เท่านั้น แผนที่ภาคผนวก 1 จึงไม่เกี่ยวข้องกับการพิพากษาคดีในครั้งนี้โดยตรง
ทั้งนี้ หากถามว่า กัมพูชาสามารถนำเอาคำพิพากษาคดีที่ผ่านมาที่ไม่ชัดเจน รวมถึงนำกรณีพื้นที่ทั้ง 3 ปราสาทและช่องบกมาตีความใหม่ได้หรือไม่ คำตอบคือ ไม่สามารถทำได้ ตามข้อ 60 ของกฎบัตรศาลโลก คำพิพากษาของศาลถือเป็นที่สิ้นสุดและไม่มีการอุทธรณ์ กัมพูชาจึงไม่สามารถนำคำพิพากษาที่ไม่ชัดเจนเดิมและพื้นที่ปราสาททั้ง 3 แห่งและช่องบก มาขอตีความใหม่ในประเด็นเกี่ยวกับแผนที่ 1:200,000 ได้อีก
JBC กลไกสันติวิธีที่ไทยพร้อมเดินหน้า
อาจารย์อินทัช ศิริวัลลภ ได้อธิบายถึงการระงับข้อพิพาทอื่นๆ นอกจากการไปศาลโลก โดยเน้นย้ำถึงกลไก คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (Joint Boundary Committee: JBC) ภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2543
อาจารย์อินทัชกล่าวว่า การเข้าสู่กระบวนการระงับข้อพิพาทขึ้นอยู่กับ ‘ความยินยอมของรัฐคู่กรณี’ ซึ่งเป็นข้อสำคัญ ซึ่งมาตรา 33 ของกฎบัตรสหประชาชาติได้ยกตัวอย่างการระงับข้อพิพาทโดยสันติวิธีอย่างหลากหลาย เช่น การเจรจา การประนีประนอม การไกล่เกลี่ย การไต่สวนข้อเท็จจริง การอนุญาโตตุลาการ (Arbitration) และกระบวนการศาล ซึ่งสามารถเลือกใช้วิธีใดก็ได้ตามที่รัฐคู่กรณีตกลงที่รัฐคู่กรณีจะตกลง ไม่จำเป็นต้องขึ้นสู่กระบวนการตัดสินของศาล
นอกจากนี้อาจารย์อินทัชกล่าวว่า ศาลโลกเป็นเพียงรูปแบบหนึ่งของการระงับข้อพิพาทโดยสันติวิธี ไม่ใช่รูปแบบเดียว และชี้ว่า ไทยและกัมพูชาได้ตกลงที่จะระงับข้อพิพาททางเขตแดนกันไว้ใน MOU 2543 นั่นคือ การเจรจาและการดำเนินการร่วมกันผ่านกลไกของ JBC มิใช่ว่าไทยไม่ยอมรับหลักเกณฑ์ของกฎหมายระหว่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม JBC ก็มีความยุติธรรมไม่น้อยกว่าศาลโลก ด้วยเหตุผลดังนี้
- การเจรจาเป็นหนึ่งในรูปแบบการแก้ปัญหาข้อพิพาทโดยสันติวิธีเช่นเดียวกับศาลโลก
- หากการเจรจาสำเร็จ ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นที่พึงพอใจของทั้งสองประเทศมากกว่าการตัดสินของศาลโลกที่ต้องมีฝ่ายชนะและแพ้
- ไทยไม่ได้ยอมรับเขตอำนาจศาลโลก แต่ทั้งไทยและกัมพูชาให้ความยินยอมในการเจรจาข้อพิพาทผ่าน JBC ภายใต้กรอบ MOU 2543
ที่มาของ JBC การกำหนด-ปักปันเขตแดนร่วมกัน
JBC เกิดขึ้นจากความร่วมมือของไทยและกัมพูชาที่ตกลงร่วมกันในการดำเนินการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกตาม MOU ปี 2543 โดยเป็นกฎหมายแม่บทในการปักปันเขตแดน ซึ่งมีการออก TOR (Terms of Reference) ในปี พ.ศ. 2546 เพื่อเป็นกรอบการดำเนินการ 5 ขั้นตอน ได้แก่
- ค้นหาตำแหน่งหลักเขตแดนเดิม
- ทำแผนที่จากภาพถ่ายทางอากาศ
- กำหนดแนวสำรวจลงแผนที่
- เดินสำรวจหาแนวเขตในภูมิประเทศ
- ก่อสร้างหลักเขตแดน
นอกจาก JBC ที่เน้นการระงับข้อพิพาทพื้นที่แล้ว ยังมีคณะกรรมาธิการอื่นที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความสงบเรียบร้อยชายแดน ได้แก่ GBC (General Border Committee) ระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ RBC (Regional Border Committee) ระดับแม่ทัพภาค
การที่กัมพูชายื่นฟ้องคดีต่อศาลโลกอีกครั้ง อาจถูกมองว่าเป็นการใช้ศาลเป็นเครื่องมือทางการเมือง เพื่อสร้างแรงกดดันให้ประเทศไทยต้องยอมรับเขตอำนาจศาลและเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดี
อาจารย์อินทัชกล่าวสรุปทิ้งท้ายว่า “การที่ไทยไม่ยอมรับขอบเขตอำนาจของศาลโลก ไม่ได้แปลว่าไทยไม่ยอมรับการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี และไม่ได้ยอมรับเขตอำนาจหลักเกณฑ์ของกฎหมายระหว่างประเทศ”