และแล้วคอลเล็กชันแรกของ Daniel Lee หัวหน้าฝ่ายสร้างสรรค์คนใหม่ของ Burberry ก็มาถึง ซึ่งครั้งนี้เขาตอกย้ำและแสดงพลังของดีไซเนอร์อังกฤษที่เข้าใจความเป็นอังกฤษสมัยใหม่ได้เป็นอย่างดี
ตั้งแต่ที่แบรนด์ทำการล้างอินสตาแกรม สิ่งแรกที่ทำให้เรารู้ว่า Daniel Lee อยากพาแบรนด์อังกฤษนี้ให้มาอยู่ในบริบทสมัยใหม่มากแค่ไหน เห็นได้ตั้งแต่แคมเปญแรกก่อนเริ่มโชว์ที่เขาได้เรียกคนอังกฤษหลายรุ่นหลายคนมารวมกันที่ลอนดอนเพื่อถ่ายภาพโปรโมตวิชวลใหม่ ไม่ว่าจะเป็น ศิลปินแรปและดีเจ Shygirl และ Skepta, Vanessa Redgrave นักแสดงวัย 86 ปี, Raheem Sterling นักฟุตบอลจากสโมสร Chelsea และ Lennon Gallagher ลูกชายของ Liam Gallagher แห่งวง Oasis ที่มาร่วมเดินแบบเป็นครั้งแรก แถมมีพี่ๆ ทั้ง Molly และ Gene Gallagher มานั่งให้กำลังใจถึงฟรอนต์โรว์
มาที่เสื้อผ้าในคอลเล็กชันนี้ หลังจากที่ 5 ปีที่ผ่านมาที่ Riccardo Tisci ได้สร้างลุคผู้หญิงโกธิกสายดาร์กที่หลงอยู่ในป่าอังกฤษมานาน Daniel Lee ได้เขามาทำให้ผู้หญิงเหล่านั้นดูเป็นรูปเป็นร่างและเข้าใจง่ายมากขึ้น ผ่านการดึงองค์ประกอบความเป็นไอคอนของอังกฤษหลายอย่างที่เข้าใจได้โดยสามัญมากระจายอยู่ทั่วคอลเล็กชัน
ไม่ว่าจะเป็นลายพิมพ์ดอกกุหลาบอังกฤษ (English Rose) ที่ทำออกมาเป็นลายพิมพ์บนเสื้อโค้ตขนสัตว์เทียม ชุดเดรส เสื้อแขนยาวพิมพ์ลายกุหลาบสีน้ำเงินที่เขียนว่า Rosed Aren’t Always Red แสดงความเป็นขบถที่อยู่ในสายเลือดของคนอังกฤษ และเมื่อมาผสมกับลายตารางที่ครั้งนี้ทำออกมาในหลายสี ทั้งเหลือง น้ำเงิน แดง ต่างจากลายดั้งเดิมที่เป็นสีน้ำตาลแดงดำ ยิ่งเพิ่มความพังก์ ที่ Daniel ให้เครดิตถึง Vivienne Westwood เจ้าแม่แฟชั่นสายพังก์ที่เสียชีวิตไปเมื่อปลายปีที่แล้ว
ตามมาด้วยวัฒนธรรมการล่าสัตว์ ที่กลายมาเป็นลายพิมพ์นกเป็ดน้ำ (Mallard) ที่อยู่บนเสื้อโค้ต แจ็กเก็ต กางเกง และกระโปรง หรือจะเป็นลายพิมพ์คำว่า The Wind of Change และ Change is Inevitable ที่สกรีนอยู่บนเสื้อยืดแขนยาวลายนกเป็ดน้ำ เพื่อส่งสารว่า Burberry ยุคใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ไปจนถึงเครื่องประดับที่ห้อยอยู่บนกระเป๋าอย่างหางจิ้งจอก และกระเป๋าน้ำร้อนที่ให้ความอบอุ่นขณะออกล่าสัตว์
และไม่เพียงแค่ Daniel Lee ทาง Burberry ยังได้ Jonathan Akeroyd ซีอีโอคนปัจจุบันชาวอังกฤษมาเสริมพลังความเป็นบริติชอีกแรง ซึ่งเขาเคยให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ The Times ของอังกฤษว่าอยากทำให้วัฒนธรรมอังกฤษเป็นที่นิยมอีกครั้ง
ซึ่งแน่นอนว่า ถ้าภาพของแบรนด์ชัดว่ากำลังจะสื่อสารและขายอะไร ก็ยิ่งง่ายต่อกลุ่มลูกค้าที่กำลังตัดสินใจรอซื้อ ซึ่งเป็นสิ่งที่ในยุค Riccardo อาจจะหาทางออกไม่เจอ จนวันนี้ Daniel Lee ได้เน้นย้ำกับเราว่าเขาคือ ดีไซเนอร์อังกฤษ ในแบรนด์อังกฤษ ที่จะทำเสื้อผ้าเพื่อคนที่รักในวัฒนธรรมอังกฤษ
ภาพ: Getty Images, Burberry