บาร์บารา กิตติงส์ นักกิจกรรม LGBTQ+ เคยกล่าวไว้ว่า ความเสมอภาคมีความหมายมากกว่าการออกกฎหมาย และเราจะรู้ว่าการต่อสู้ได้รับชัยชนะแล้วเมื่อเรารู้สึกว่าได้รับความเคารพ ยอมรับ และเห็นคุณค่าจากเพื่อนร่วมงาน ที่ทำงาน และครอบครัวของเรา
“ชาว LGBTQ+ ทุกคนเฝ้ารอวันที่รู้สึกว่าสามารถเป็นตัวของตัวเองได้โดยไม่ต้องปิดบังว่าพวกเขารักใคร หรือระบุตัวตนของพวกเขาได้อย่างไร” ซึ่งสิ่งที่น่าเศร้าคือ 83% ของชาว LGBTQ+ ทั่วโลกยังคงปิดบังรสนิยมทางเพศของตน
ทว่าเป็นที่น่ายินดีเมื่อทั่วโลกยอมรับ LGBTQ+ เพิ่มมากขึ้น เราได้เห็นการเป็นตัวแทนของ LGBTQ+ ในสื่อสูงเป็นประวัติการณ์ในปี 2565 ความแตกแยกทั่วโลกเกี่ยวกับสิทธิของ LGBTQ+ กำลังแคบลง นอกจากนี้ชาวอเมริกัน 72% ยอมรับว่า การรักเพศเดียวกันควรได้รับการยอมรับจากสังคม เทียบกับ 42% ที่เห็นด้วยในปี 2550
แต่ผลการวิจัยหลายชิ้นพบว่า บุคลากรทางการแพทย์บางคนมีอคติเชิงลบต่อ LGBTQ+ นำไปสู่การเลือกปฏิบัติ และทำให้เกิดความไม่เสมอภาคด้านการดูแลสุขภาพของชุมชน LGBTQ+
นี่เป็นปัญหาใหญ่ เนื่องจากชาว LGBTQ+ มักจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นต่อปัญหาสุขภาพร่างกายและจิตใจ หากปราศจากการยอมรับแล้ว ชาว LGBTQ+ จะไม่รู้สึกปลอดภัยที่จะได้รับการดูแลทางการแพทย์ที่มีคุณภาพตามที่พวกเขาต้องการ
การดูแลสุขภาพคือสิ่งที่ทุกคนควรเข้าถึงได้ องค์การอนามัยโลกจึงให้นิยามคำว่าสุขภาพเพศว่าความอยู่ดีมีสุขในทุกมิติที่เกี่ยวข้องกับประสบการณ์ทางเพศ ไม่ว่าจะทางกายหรือใจ ตลอดจนความสัมพันธ์ทางสังคม
“ทุกคนควรจะรู้สึกปลอดภัย ไม่ถูกคุกคาม ไม่ถูกเลือกปฏิบัติ ไม่ว่าจะมีความหลากหลายทางเพศแบบไหน มีความชื่นชอบทางเพศแบบไหน รวมถึงการรักษาความลับ ควรจะเป็นสิทธิที่จะได้รับการปกป้อง ยังมีสิทธิขั้นพื้นฐานที่กลุ่ม LGBTQ+ ควรจะได้รับสิทธิ ไม่ว่าจะเป็นการแต่งงานหรือการสร้างครอบครัว และที่สำคัญคือการได้รับบริการสุขภาพที่ได้มาตรฐานโดยไม่ถูกเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศ” นพ.เบญทวิช สุรศาสตร์พิศาล แพทย์ผู้ชำนาญการด้านเวชศาสตร์ครอบครัว Pride Clinic โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าว
จุดเริ่มต้นของ Pride Clinic มาจากการที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ซึ่งเป็นองค์กรที่เคารพและสนับสนุนในความแตกต่างหลากหลายในทุกมิติของความเป็นมนุษย์ ทั้งเชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม รวมถึงเรื่องเพศ และพร้อมดูแลทุกคนอย่างเสมอภาค ตระหนักถึงสุขภาพของ LGBTQ+
โดยได้ก่อตั้ง Pride Clinic เมื่อเดือนมิถุนายน 2564 เพื่อส่งมอบการดูแลสุขภาพในระยะยาว (Life-Time Value) ด้วยบริการครบเบ็ดเสร็จในที่เดียว (One Stop Service) แก่กลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ ด้วยความเชื่อที่ว่า ‘คนทุกคนสามารถบรรลุศักยภาพของตัวเองได้อย่างเต็มที่ หากได้เป็นตัวของตัวเองในแบบฉบับที่ดีที่สุด’ (Be the Best Version of Yourself)
บริการสุขภาพทางเพศสำหรับบุคคลหลากหลายทางเพศ
ต้องยอมรับว่าประเทศไทยยังขาดแหล่งข้อมูลหรือสถาบันที่สามารถเป็นที่พึ่งพิงในการให้คำปรึกษา ให้ความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้อง ตามข้อมูลทางการแพทย์ในเรื่องสุขภาพเพศของ LGBTQ+ ได้อย่างครบวงจร
Pride Clinic จึงได้ขยายเซอร์วิสด้าน ‘บริการสุขภาพทางเพศสำหรับบุคคลหลากหลายทางเพศ’ หรือ LGBTQ+ Sexual Health Services เพื่อเติมเต็มบริการของ Pride Clinic ที่มีอยู่เดิมให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น นอกเหนือจากบริการด้านสุขภาพ (LGBTQ+ Health services)
โดยบริการสุขภาพทางเพศแบ่งเป็น 5 บริการหลักๆ เพื่อให้ครอบคลุมทุกด้านเกี่ยวกับสุขภาพทางเพศ ประกอบด้วย
- การป้องกันการติดเชื้อ HIV (HIV Prevention) ไม่ว่าจะเป็นการให้ยา PrEP, ให้คำปรึกษาการมีเพศสัมพันธ์ปลอดภัย รวมไปถึงการดูแลโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ (STIs: Sexual Transmitted Infections)
- การให้คำปรึกษาเรื่องเพศวิถี (Sexual Orientation Counseling) เช่น การปรึกษาว่าจะเปิดเผยให้กับครอบครัวหรือคนที่รักอย่างไร
- การให้คำปรึกษาเรื่องรสนิยมทางเพศที่แตกต่างไปจากบรรทัดฐานทางสังคม (Sexual Preference)
- ปัญหาสุขภาพเพศในบุคคลหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+ Sexual Health Problems)
Pride Clinic ให้บริการภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยและคุณภาพระดับสากล JCI (Joint Commission International) โดยคำนึงถึงเรื่องการรักษาความลับและความเป็นส่วนตัวของผู้รับบริการเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด
ทีมแพทย์ผู้ชำนาญการสำหรับดูแล LGBTQ+ โดยเฉพาะ
จุดเด่นของ Pride Clinic ประกอบด้วย ทีมแพทย์ชำนาญการที่มีความละเอียดอ่อนและสมรรถนะในการดูแล LGBTQ+ โดยเฉพาะ มีความรู้ทางการแพทย์เชิงลึก สามารถให้บริการดูแลครอบคลุมในทุกมิติอย่างครบวงจร รวมถึงในเคสที่มีความซับซ้อน
โดย Pride Clinic มีองค์ความรู้ทางการแพทย์ที่อัปเดตตามเทรนด์ตลอดเวลา และอิงตามไกด์ไลน์ของต่างประเทศตามมาตรฐานสากล พร้อมด้วยมาตรฐานห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ (Laboratory) ที่ได้รับการรับรองระดับสากล CAP LAB Certified ให้ผลการทดสอบที่แม่นยำ รวดเร็ว และเชื่อถือได้
จุดแข็งอีกประการของ Pride Clinic คือ ใช้ระบบการดูแลแพทย์ประจำตัว หรือเรียกว่า Primary Care Physician ซึ่งแพทย์จะทำหน้าที่ดูแลผู้มารับบริการในทุกปัญหา แพทย์จะมีความเข้าใจในกลุ่มบุคคลหลากหลายทางเพศ พร้อมให้คำปรึกษาและแนะนำทั้งเรื่องสุขภาพทางเพศและสุขภาพโดยทั่วไป เนื่องจากลักษณะของปัญหาจะมีความละเอียดอ่อนและต้องการผู้ที่เข้าใจอย่างแท้จริง
แพทย์ได้รับการฝึกอบรมด้านเวชศาสตร์ทางเพศและเพศวิทยาคลินิก มีความชำนาญในการดูแลรักษาด้านสุขภาพทางเพศของบุคคลหลากหลายทางเพศโดยตรง และมีประสบการณ์ในการดูแลกลุ่ม LGBTQ+ มากเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ ทำให้สามารถให้คำแนะนำและรักษาได้อย่างตรงจุดในสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตร ให้พื้นที่ปลอดภัย โดยรับฟังอย่างเข้าใจและไม่ตัดสิน มีทักษะในการสื่อสารและมีความละเอียดอ่อนในการใช้ภาษา
สำหรับแพทย์ประจำตัว (Primary Care Physician) ของ Pride Clinic มีทีมแพทย์ทั้งหมด 4 ท่าน ซึ่งแต่ละท่านจะมีความชำนาญการเฉพาะทางที่แตกต่างกันไป ถือเป็นจุดเด่นที่ Pride Clinic ได้นำจุดเด่นของแต่ละท่านมาเติมเต็มซึ่งกันและกัน ทั้งในส่วนของแพทย์อายุรศาสตร์โรคต่อมไร้ท่อและเมตาบอลิซึม ผู้ชำนาญการด้าน Hormone Therapy เช่น กลุ่ม LGBTQ+ ที่ต้องการใช้ฮอร์โมน แต่มีภาวะอ้วนหรือป่วยเป็นมะเร็งร่วมด้วย
แพทย์ด้านเวชศาสตร์ครอบครัวที่พร้อมให้คำปรึกษาและดูแลสุขภาพองค์รวมที่ส่งผลต่อสุขภาพกายและใจ ทั้งตัวของผู้เข้ารับบริการ คู่ชีวิต ครอบครัว และสังคม โดยเฉพาะกลุ่ม LGBTQ+, แพทย์ด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ เช่น การเก็บไข่ เก็บสเปิร์ม ในกลุ่มข้ามเพศ, แพทย์ด้านเวชศาสตร์อุ้งเชิงกรานหญิงและศัลยกรรมตกแต่ง เช่น ผ่าตัดส่องกล้องมดลูกในหญิงข้ามเพศ รวมถึงทำหัตถการเพื่อตกแต่งให้สวยงาม เป็นต้น
“จะเห็นได้ว่า Pride Clinic ไม่ได้เน้นแค่เรื่องของการรักษา แต่เรายังทำหน้าที่ในการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันและส่งเสริมสุขภาพองค์รวมควบคู่ไปด้วย ทั้งด้านสมรรถนะทางร่างกายและจิตใจ”
นพ.เบญทวิช ยอมรับว่าความท้าทายของ Pride Clinic คือการทำให้ทุกองค์ประกอบ ไม่ว่าจะสภาพแวดล้อมหรือบุคลากรเข้าใจในกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศในทุกด้าน
“วันนี้ Pride Clinic สำเร็จไปขั้นหนึ่งแล้ว สะท้อนจากที่มีคนไข้เข้ามาปรึกษาในทุกๆ วัน และไม่ใช่แค่คนไทยเท่านั้น แต่ยังมีชาวต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นชาวอเมริกัน ยุโรป รัสเซีย หรือออสเตรเลียด้วย”
เหตุใดจึงเลือกมาปรึกษาที่ Pride Clinic โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
ดร.ณัชร สยามวาลา อาจารย์พิเศษและวิทยากรด้านสติระดับนานาชาติ คือหนึ่งในผู้ที่เลือกมาปรึกษา Pride Clinic ของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ โดยเริ่มจากการหาข้อมูลที่มากเพียงพอทั้งในไทยและต่างประเทศ พอมีความรู้แน่นในระดับหนึ่งก็พูดคุยกับครอบครัว เพื่อนฝูง และคนที่เรารัก จากนั้นก็เริ่มหาทีมแพทย์มืออาชีพที่มั่นใจได้มาคอยดูแลตลอดกระบวนการข้ามเพศ
“ผมรู้สึกว่า Pride Clinic ถูกออกแบบมาจากความเข้าใจพื้นฐานของกลุ่ม LGBTQ+ อย่างแท้จริง ซึ่งที่นี่ให้บริการครอบคลุมตั้งแต่การให้คำปรึกษา การใช้ฮอร์โมนเพื่อการข้ามเพศ ทำศัลยกรรมปรับเปลี่ยนรูปร่าง ฝึกเปลี่ยนเสียง ไปจนถึงการผ่าตัดเพื่อการข้ามเพศ มีการฟื้นฟูหลังการผ่าตัดและติดตามผล เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายตามความต้องการของแต่ละบุคคล (Personalized Care) ได้อีกด้วย”
ดร.ณัชร กล่าวว่า รู้สึกประทับใจการให้บริการของ Pride Clinic มาก ตั้งแต่ทีมแพทย์ แพทย์ด้านฮอร์โมนบำบัด, ศัลยแพทย์, วิสัญญีแพทย์ หรือแพทย์ดมยา ที่ช่วยให้ไม่เจ็บปวดมากในกระบวนการผ่าตัด, Nurse Navigator ที่ให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด และนำทางไปสู่กระบวนการดูแลรักษาทุกขั้นตอนอย่างราบรื่น
ยังมีนักกายภาพบำบัดที่ดูแลการออกกำลังกายการฟื้นฟูร่างกายหลังการผ่าตัด, นักโภชนาการที่ดูแลแนะนำสารอาหารที่เหมาะกับเรา จากประสบการณ์บอกได้ว่า Pride Clinic โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เป็นที่แรกของประเทศไทยที่ให้บริการแบบ One Stop Service ครอบคุลมเกี่ยวกับสุขภาพทุกด้าน ตอบโจทย์ LGBTQ+ จริงๆ ซึ่งหลายประเทศยังไม่ครอบคลุมเท่านี้เลย
“คนอื่นอาจมองว่าการผ่าตัดในขั้นตอนสุดท้ายคือจบแล้ว แต่จริงๆ แล้วสำหรับผม มันคือขั้นตอนสุดท้ายเพื่อนำไปสู่จุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่ ผมรอคอยมาตลอดชีวิต และผมมีความสุขมาก เพราะมันคือตัวผมจริงๆ” ดร.ณัชร กล่าว
ทุกมิติคือความใส่ใจ
นภัส เปาโรหิตย์ Chief Marketing Officer โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ย้ำว่า ในมิติของผู้ที่มาใช้บริการ สิ่งที่สัมผัสได้คือความใส่ใจในทุกกระบวนการของ Pride Clinic รวมถึงการยึดตามหลักปฏิบัติโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ที่มีการเก็บรักษาความลับของผู้เข้ารับบริการและมีความเป็นส่วนตัว เพราะ LGBTQ+ บางรายอาจยังไม่ได้เปิดเผยหรือแสดงตัว และเป็นสิทธิของผู้รับบริการโดยชอบธรรม ซึ่งโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ใส่ใจในทุกรายละเอียดทั้งความเป็นส่วนตัวและการเก็บรักษาความลับ
“ขอรับรองได้ว่าที่นี่เป็นพื้นที่ปลอดภัย เราสามารถพูดคุยกับแพทย์ Pride Clinic ได้ในทุกๆ เรื่องอย่างสบายใจทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องสุขภาพด้วยความเป็นตัวตนของเรา และยังได้รับคำตอบและคำแนะนำที่ดีจนคาดไม่ถึง ด้วยกระบวนการทั้งหมดนี้ทำให้บำรุงราษฎร์แตกต่างจากที่อื่น”
และอีกข้อโดดเด่นของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์คือ การให้การบริบาลที่มีคุณภาพตลอดช่วงเวลาของผู้มารับบริการ เช่น Pride Clinic ได้ให้ความสำคัญกับการติดตามผล ไม่ใช่เพียงแค่ผ่าตัดเสร็จแล้วกลับบ้าน แต่ผู้รับบริการจะพักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาล โดยมีทีมสหสาขาวิชาชีพดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มั่นใจว่าผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจ
ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Pride Clinic โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เคาน์เตอร์ A ชั้น 16 อาคาร A (คลินิก) หรือโทร. 06 3221 0957, 0 2066 8888 หรือโทร. 1378
อ้างอิง: