×

‘สุทิน-ศิริกัญญา’ ปิดจ๊อบ สรุปความเห็นต่างมุมต่องบประมาณ 69 วงเงิน 3.78 ล้านล้าน

โดย THE STANDARD TEAM
31.05.2025
  • LOADING...
สุทิน-ศิริกัญญา อภิปรายสรุปงบประมาณ 2569 ในรัฐสภา

ในช่วงท้ายของการอภิปรายร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ 2569 ที่ต่อเนื่องกันมาตลอด 4 วัน ตั้งแต่เย็นวันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา สส. ทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้าน สลับกับตัวแทนคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ลุกขึ้นแสดงความคิดเห็นและเหตุผลของแต่ละฝ่าย สะท้อนมุมมองหลากหลายที่สภามีต่อร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท ในวาระแรก

 

ท้ายที่สุด พรรคร่วมฝ่ายค้านและพรรคร่วมรัฐบาล ได้ส่งขุนพลของแต่ละคนเพื่อสรุปเนื้อหา และรวบรวมข้อคิดเห็นจากทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งช่วยให้เห็นภาพรวมของงบประมาณปี 2569 ที่มองจากต่างมุมได้อย่างดี

 

กู้มาฟื้นเศรษฐกิจไม่ใช่เรื่องเลวร้าย

 

สุทิน คลังแสง สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อภิปรายสรุปเป็นคนสุดท้ายของฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาล โดยระบุว่า ได้เห็นวิธีอภิปรายและข้อมูลที่หลากหลาย ถูกกาลเทศะบ้างไม่ถูกบ้าง แล้วกรอบใดถึงจะถูกกาลเทศะ คือชอบด้วยกฎหมายที่เกี่ยวข้องหรือไม่ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนปฏิรูปประเทศหรือไม่ สำคัญที่สุดคือตอบโจทย์ประชาชนหรือไม่ และสุดท้ายคือตรงใจ สส. หรือไม่ เพราะ สส. คือตัวแทนที่รู้ความเดือดร้อนของประชาชนที่สุด ซึ่งจะสรุปจาก 4 กรอบนี้ว่า ควรจะยกมือเห็นชอบหรือไม่

 

สุทินกล่าวว่า งบทั้งหมดปีนี้คือ 3.7 ล้านล้านบาท แม้ส่วนตัวจะไม่พอใจ และยอมรับว่าอยากได้เยอะกว่านี้ แต่ก็ติดที่สถานะการเงินของประเทศ ถ้าอยากได้มากกว่านี้ก็ต้องกู้จนชนกรอบวินัยการเงินการคลัง แต่น้อยกว่านี้ก็จะแก้ปัญหาไม่ได้ จึงเชื่อว่ารัฐบาลตั้งอยู่บนความสมดุลของปัจจัยต่างๆ แล้วตามความเป็นจริง นอกจากนี้ ยังเป็นงบประมาณขาดดุล 8 แสนกว่าล้าน ซึ่งก็ได้กู้มา เชื่อว่าทุกรัฐบาลที่ผ่านมาไม่มีใครอยากกู้เงิน แต่จำเป็น และอยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลัง ซึ่งก็ไม่ถึง 20% 

 

“การกู้ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสมอไป การฟื้นเศรษฐกิจจำเป็นต้องกู้ อยู่ที่กู้มาทำอะไร คุ้มค่าหรือไม่ ถูกทิศถูกทางหรือไม่ การกู้ไม่ใช่ครั้งแรก ประเทศนี้ไม่ได้กู้อยู่ 2 ปีเท่านั้น คือปี 2548-2549 ที่นายกรัฐมนตรีชื่อ ทักษิณ ชินวัตร ทำไว้สมดุล เราก็อยากทำสมดุลอย่างนั้น แต่ที่ผ่านมาทำไม่ได้” สุทินกล่าว

 

สุทินกล่าวว่า รัฐบาลได้ทุ่มแก้ปัญหาเศรษฐกิจเยอะ แต่สมาชิกก็ยังมองว่าน้อย ยาไม่แรง แต่งบกระตุ้นเศรษฐกิจ 3.7 ล้าน เป็นเพียง 18.9% ของจีดีพีเท่านั้นเอง อยู่ที่ความสามารถของรัฐต้องพึ่งพาส่วนอื่นๆ ไม่ใช่ว่าจะสิ้นหวังในการกระตุ้น และรัฐบาลมีทั้งตั้งรับต่อความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ส่วนเชิงรุกก็มีมาก เช่น พยายามหารายได้ใหม่ การตีปี๊บลงแรงเกี่ยวกับซอฟต์พาวเวอร์ รวมถึง Data Center ก็ต้องชื่นชมว่าเราไม่งอมืองอเท้ากับรายได้เก่า พร้อมส่งเสริมให้ภาคเอกชนได้ลงทุน ท่องเที่ยว ส่งออก ซึ่งเพียง 3.7 ล้านไม่เพียงพอ แต่ใช้หมุนเฟืองให้เอกชน ก็ถือว่าเพียงพอสำหรับเรื่องนี้

 

ด้านงบประมาณกองทัพที่สมาชิกเป็นห่วง ในฐานะที่เคยอยู่พอจะรู้เรื่องจึงอยากตอบ เมื่อมีการทวงเรื่องปรับลดขนาดกองทัพ และงบประมาณไม่สอดคล้อง แต่นี่งบยังมากอยู่ เมื่อครั้งตนเองเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเคยชี้แจง งบด้านกองทัพจะใช้ฐานต่างจากงบประมาณกระทรวงอื่น ต้องดูบริบทโลกว่ากำลังตึงเครียด เขม็งเกลียว จะมีการสู้รบกันหรือไม่ เหล่านี้คือฐานที่จะนำมาจัดงบประมาณ หากสถานการณ์ตึงเครียดก็ต้องจัดเยอะ สถานการณ์ผ่อนคลายก็ตัดน้อย

 

“ยิ่งมันส่งสัญญาณว่าจะมีเหตุแล้ว จะมานิ่งนอนใจตัดงบกันอยู่ ต้องขอเลยนะท่านกรรมาธิการ งบความมั่นคงหรือกองทัพ ไม่ได้ปกป้องเลย เมื่อผมอยู่ก็จี้ตลอด ส่วนไหนที่ไม่ได้เกี่ยวกับยุทธศาสตร์ป้องกันประเทศหรือสถานการณ์ ก็ตัดเลย อันไหนตัดได้ก็ตัด” สุทินกล่าว

 

ฝ่ายค้านอภิปรายบางเรื่องไม่ถูกกาลเทศะ

 

สุทินเห็นว่า ทุกรัฐบาลไม่มีใครคิดว่าจะจัดงบประมาณละเลยประชาชนหรอก อยากจัดงบประมาณให้คนชม ปรบมือให้ อยากเห็นเศรษฐกิจขยายตัว หน้าชื่นตาบาน กินอิ่มนอนอุ่น จะติดข้อจำกัดกี่มากน้อยอีกเรื่องหนึ่ง ดังนั้นกรอบนี้จะขอให้กำลังใจ แต่ก็ไม่ง่าย ยังมีปัจจัยและความผันผวนอีกหลายอย่าง

 

สำหรับกรอบที่ว่าถูกใจ สส. หรือไม่นั้น เท่าที่ดูมา 4 วัน เพื่อนสมาชิกส่วนใหญ่ก็เห็นด้วย และเห็นใจข้อจำกัดของรัฐบาล แต่สมาชิกที่เป็นฝ่ายค้านก็เข้าใจบ้าง มีด่าทอบ้างเป็นปกติ แต่บางเรื่องหากไม่ถูกกาลเทศะ รัฐบาลก็ต้องแยกแยะ เก็บไปคิด เก็บไปปรับ 

 

“อย่างเช่นประเทศเรากำลังเข้าสู่รัฐล้มเหลวแล้ว ก็คิดได้ แต่การพูดต้องระวัง เพราะการด้อยค่าประเทศตนเองก็เป็นเรื่องละเอียดอ่อน เรื่องทุจริตหลายเรื่อง บางครั้งก็ยังไม่ได้เกิดใน พ.ร.บ. นี้ เกิดใน พ.ร.บ. เก่า ก็สามารถเตือนสติได้ แต่การอภิปรายงบประมาณเรื่องทุจริตที่ควรพูดที่สุด ควรชี้ว่างบส่วนไหนตรวจสอบไม่ได้ หมกเม็ด สภาตามกำกับไม่ได้ นั่นคือกาลเทศะของการอภิปรายงบประมาณในเรื่องทุจริต” สุทินระบุ

 

สุทินทิ้งท้ายว่า ขอบคุณพรรคร่วมฝ่ายค้าน บางเรื่องอาจมีมุมที่วิตกจริตเกินไปก็อาจจะปรับลดนิดหน่อย แล้วกลับมาอยู่บนโลกความเป็นจริง ท้ายสุดแล้ว ความเห็นต่างในการจัดงบประมาณจะมีเรื่องที่เหมือนกันคือ รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน เชื่อว่ามองไม่ต่างกัน แต่วิธีแก้ปัญหาอาจจะต่างกัน ตามประสบการณ์และความเป็นมืออาชีพ เรื่องเดียวกันอาจจะแก้คนละแบบ

 

ฝ่ายค้านขอช่วยหาเงิน แต่รัฐบาลไม่อยากให้ช่วย

 

ต่อมา ศิริกัญญา ตันสกุล สส. แบบบัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน อภิปรายสรุปว่า ตั้งแต่ฟังการอภิปรายมา 4 วัน ได้ยินคำว่ากาลเทศะบ่อยมาก ทุกวันนี้ปัญหาของประเทศหลายคนพูดกันว่าปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาปากท้อง ท่านบอกงบประมาณ 3.78 ล้านล้านบาทนั้นมันน้อย ซึ่งเมื่องบน้อยเราก็ต้องใช้อย่างคุ้มที่สุด ต้องไปเหนี่ยวนำการลงทุนของภาคเอกชนให้เกิด เพื่อไปเสริมโครงสร้างการลงทุนที่อ่อนแอให้แข็งแกร่งขึ้น แถมยังต้องเตรียมไว้ใช้สำหรับรองรับวิกฤตเศรษฐกิจการค้าอีก 

 

“เราจึงต้องช่วยรัฐบาลหาเงิน แต่หาเท่าไรก็เหมือนถังที่มีรูรั่ว เพราะมีความสุ่มเสี่ยงที่จะคอร์รัปชัน จึงต้องอภิปรายเพื่อเตรียมที่จะตัด ซึ่งดิฉันงงว่าทำไมจึงจะพูดไม่ได้ และงงว่านี่คือการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เรายังไม่ได้มีการพูดถึงรัฐมนตรีคนใดเลยสักคำ” ศิริกัญญากล่าว 

 

ศิริกัญญากล่าวว่า ท่านบอกจัดงบประมาณปี 2569 ไม่ทัน ซึ่งตนพยายามบอกให้นำไปจัดใหม่ก่อน ส่งมาล่าช้า 1-2 สัปดาห์ก็ไม่เป็นอะไร คณะกรรมาธิการเร่งเวลาในการพิจารณาให้ได้ แต่รัฐบาลก็ไม่ทำ และอ้างว่านี่คือความฉลาดของรัฐบาล ถูกต้องตามกฎหมาย ต้องใช้เวลาจึงไม่สามารถจัดงบประมาณได้ทัน

 

“ในปี 2567 มีการรื้อถึง 2 รอบเพื่อนำเงินมาทำดิจิทัลวอลเล็ต แต่ปีนี้วิกฤตมารออยู่ตรงหน้าแล้ว มีเวลาแต่ไม่ทำ ชาญฉลาดจริงๆ เมื่อไม่มีดิจิทัลวอลเล็ตงานก็ไม่เดิน อีกทั้งโครงการก็หน้าตาแบบเดิม ไม่มีการเพิ่มโครงการใหม่ การที่ท่านบอกว่าท่านจัดงบประมาณแบบยืดหยุ่น แต่ KPI กลับเหมือนเดิม” ศิริกัญญาระบุ 

 

ศิริกัญญากล่าวด้วยว่า สำหรับงบประมาณด้านการกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น ที่ในเล่มขาวคาดแดงไม่มี นายกรัฐมนตรีไม่พูดถึง แต่กลับพบในหนังสืองบประมาณฉบับประชาชน และมีโครงการเติมเงินหมื่นบาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ที่ปี 2569 จะมาแน่ๆ แม้จะมีเงินแจกแค่ 2.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งใน 2.5 ล้านคนต้องมาลุ้นกันว่าใครจะเป็นคนโชคดี ลุ้นยิ่งกว่าหวย 

 

“แต่คุณชาดาก็ยังบอกให้แจกเลย ไม่งั้นได้นายกรัฐมนตรีเท้ง (ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ) แน่ๆ แต่หากแจกเช่นนี้และใกล้เลือกตั้งแจกเลย 2 หมื่น ก็ยังได้นายกฯ เท้งเหมือนเดิม ซึ่งมีแค่นี้จริงๆ สำหรับงบกระตุ้นเศรษฐกิจในปีนี้ ที่เหลือเป็นพวกธงฟ้าต่างๆ” ศิริกัญญากล่าว 

 

งบต้องรื้อหมดเหมือนยุคประยุทธ์ ควรต้องยุบสภา

 

ศิริกัญญากล่าวด้วยว่า อย่างไรก็ตาม รัฐบาลบอกว่าเตรียมงบไว้สำหรับกระตุ้นเศรษฐกิจไว้แล้ว 1.57 แสนล้านบาท ซึ่งตนเห็นในส่วนของกระทรวงมหาดไทย ที่ให้ อบต. 1 หมื่นโครงการ เป็นโครงการตู้กดน้ำสะอาดให้มีทุก อบต. ถามว่ากระตุ้นแบบไหน โดยหากลงไปในรายจังหวัดจะพบว่ามีการขอ AI กันเข้ามาเป็นจำนวนมาก เช่น เชียงราย ได้ไปถึง 800 ล้าน ซึ่งผู้ขอคือพลังงานจังหวัดเชียงราย หรือ สสจ. โคราชก็มีการของบสำหรับตรวจน้ำตาลนักเรียนเบาหวานวิทยา 

 

ทั้งนี้ งบประมาณที่กระทรวงมหาดไทยชงมานั้นสอดคล้องกับนโยบายของนายกรัฐมนตรี เหมือนข้าราชการรู้ว่าจะมีการเปลี่ยนนายหรือไม่ จึงมีการจัดงบเอาใจนายกรัฐมนตรีเช่นนี้ การกระตุ้นเช่นนี้ไม่ใช่สัจจะนิยมเชิงโครงสร้าง แต่เป็นสัจจะนิยมมหัศจรรย์

 

“ตอนงบปี 2564 ตอนนั้นเราอยู่ท่ามกลางวิกฤตโควิด ดิฉันเคยวิพากษ์วิจารณ์ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ว่าจัดงบประมาณไม่ได้ตอบโจทย์ประเทศที่เรากำลังเผชิญวิกฤตโควิดเลยแม้แต่น้อย ความรู้สึกวันนั้นไม่ต่างจากวันนี้ เพราะต้องรื้อหมด”

 

ศิริกัญญากล่าวต่อไปว่า แต่ถ้ารื้อหมดนั่นหมายความว่า รัฐบาลก็หมดความชอบธรรมที่จะบริหารประเทศไปแล้ว ต้องยุบสภาแล้ว เมื่อปี 2564 ตนเองก็ได้ขอให้ยุบสภา แต่วันนี้ได้เรียนรู้ว่าการเมืองแห่งความเป็นจริงว่าไม่มีนายกรัฐมนตรีที่ไหนที่เขายุบสภาตอนที่ความนิยมกำลังย่ำแย่ ยกเว้นแต่จะมีศึกภายในจากพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเอง แต่อย่าเอาพรรคประชาชนไปเป็นตัวประกัน ระหว่างการทะเลาะกันของท่านทั้งสอง

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising