บีทีเอส กรุ๊ป รุกธุรกิจประกันชีวิต ส่ง ‘แรบบิท ไลฟ์’ เจาะฐานลูกค้ารถไฟฟ้า 15 ล้านคน เล็งใช้บริษัทในเครือหนุนการเติบโต ตั้งเป้าติด 1 ใน 10 ของธุรกิจประกันที่มีเบี้ยรับสูงสุดภายใน 3 ปี
คีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ กล่าวในงานแถลงข่าวเปิดตัวบริษัท แรบบิท ประกันชีวิต ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ของกลุ่มว่า บีทีเอสได้ทำธุรกิจด้านโครงสร้างพื้นฐานระบบรางขนส่งมวลชน ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของกลุ่มมาแล้วเป็นเวลาเกือบ 30 ปี อย่างไรก็ดี ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทก็ได้มีการขยายธุรกิจด้านอื่นๆ มาอย่างต่อเนื่อง ภายใต้ยุทธศาสตร์ 3 M ได้แก่
- MOVE คือ ธุรกิจขนส่งมวลชนระบบรางในกรุงเทพฯ ที่มีความยาวราว 140 กิโลเมตร ซึ่งประกอบด้วยรถไฟฟ้าสายสีเขียว รถไฟฟ้าสายสีชมพู รถไฟฟ้าสายสีเหลือง และรถไฟฟ้าสายสีทอง
- MIX คือ การเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจการต่างๆ และ
- MATCH คือ การเป็นผู้ให้บริการให้กับลูกค้าและคู่ค้าทางธุรกิจ
ทั้งนี้ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา กลุ่มบีทีเอสได้ใช้งบลงทุนไปมากกว่า 1.2 แสนล้านบาทในการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) รถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) รวมถึงการลงทุนในธุรกิจอื่นๆ เช่น เคอรี่ เอ็กซ์เพรส, เจมาร์ท และยังลงทุนเมืองการบินอู่ตะเภาอีก 5 แสนล้านบาท
“แรบบิท ประกันชีวิต หรือ Rabbit Life ถือเป็นธุรกิจใหม่ล่าสุดในแพลตฟอร์มของเรา ซึ่งจะสามารถเข้ามาใช้ฐานข้อมูลต่างๆ ของบีทีเอสรวมถึงบริษัทในเครือ เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตได้ โดยปัจจุบันบีทีเอสมีสมาชิกบัตรแรบบิทที่ออกไปแล้วประมาณ 15 ล้านใบ เราจึงคาดหวังว่า Rabbit Life จะสามารถเติบโตขึ้นไปติด 1 ใน 10 ของบริษัทประกันชีวิตที่มีเบี้ยรับสูงสุดภายใน 3 ปี หรือภายในปี 2025” คีรีกล่าว
ด้าน กรณ์ ชินสวนานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แรบบิท ประกันชีวิต จํากัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีแรก บริษัทมีเบี้ยรับรวมแล้วราว 800 ล้านบาท และตั้งเป้าจะมีเบี้ยรับรวมมากกว่า 2 พันล้านบาทภายในสิ้นปีนี้ รวมถึงมีตัวแทนขายเพิ่มขึ้นจาก 350 ราย เป็น 500 ราย
กรณ์กล่าวอีกว่า ปัจจุบันตลาดประกันชีวิตในประเทศไทยยังเป็นอุตสาหกรรมที่มีความมั่นคงและมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ สำหรับกลุ่มลูกค้าคนไทย ยังมีคนอีกจำนวนมากที่ยังไม่มีประกันชีวิตเป็นของตัวเอง เพราะฉะนั้นโอกาสในการขายประกันชีวิตยังมีอยู่สูง
“แม้ว่าบริษัทฯ อาจดูเหมือนเป็นน้องใหม่ในวงการธุรกิจประกัน แต่ในความเป็นจริงเรามีทีมผู้บริหารและทีมงานที่พร้อมด้วยประสบการณ์ในอุตสาหกรรมประกันชีวิตมานานกว่า 25 ปี ซึ่งมีความเชี่ยวชาญและความเข้าใจเกี่ยวกับวงการนี้เป็นอย่างดี” กรณ์กล่าว
กรณ์กล่าวว่า แนวคิดของ Rabbit Life จะเริ่มต้นจากการมีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง พร้อมทั้งตอบสนองต่อลูกค้าที่แตกต่างโดยการรับฟังความต้องการ (Listen) เรียนรู้ (Learn) เพื่อนำไปออกแบบและพัฒนา (Create) ให้ได้คำตอบที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทยังมีความกล้าที่จะให้สิทธิประโยชน์ที่มากกว่าในรูปแบบที่ง่าย รวดเร็ว และคุ้มค่า
โดยจากการวิจัยทางการตลาดของบริษัทพบว่า ปัจจุบันคนรุ่นใหม่มีการใช้ชีวิตแบบ New Mindset ในการทำประกันที่นึกถึงตัวเองมากขึ้น เพื่อตอบสนองกับการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปในหลากหลายมิติ เนื่องจากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทั่วโลกมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมาย ผู้คนจึงมีความจำเป็นที่ต้องปรับตัวเพื่อให้ผ่านสถานการณ์ดังกล่าวไปให้ได้ ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องของชีวิต สุขภาพ หรือการเงินเพียงเท่านั้น แต่ยังเป็นการใส่ใจรายละเอียดในการดำเนินชีวิตทุกด้าน ผู้บริโภคจึงต้องการตัวเลือกที่ดีและเหมาะสมที่สุดสำหรับในแต่ละช่วงของชีวิต
เพื่อตอบโจทย์ดังกล่าว บริษัทจึงพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ลูกค้ามีทางเลือกที่หลากหลาย และสามารถปรับรูปแบบได้ตามความต้องการผ่านแนวคิด Customixed (Customize + Mix) โดยลูกค้าสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบกรมธรรม์ให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคลได้ ขณะเดียวกันยังสามารถจัดแพ็กเกจ ซื้อแผนสัญญาเพิ่มเติมได้ตามความต้องการ ผ่านช่องทางการขายแบบ Omni Channel ที่สะดวกรวดเร็ว ไร้รอยต่อ และพร้อมให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญ
“การที่จะก้าวขึ้นไปติด 1 ใน 10 ของบริษัทประกันชีวิตที่มีเบี้ยรับสูงสุดได้ เราต้องมีส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 1% และมีเบี้ยใหม่ 6-7 พันล้านบาท และมีเบี้ยรับรวมกว่า 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งผมเชื่อมั่นด้วยแรงหนุนของบีทีเอสกรุ๊ปทั้งในแง่ฐานข้อมูลลูกค้า การผนึกกำลังกับธุรกิจในเครือ เช่น Rabbit Care และ Rabbit Cash รวมถึงธุรกิจสื่อโฆษณาอย่าง VGI และ Plan B จะทำให้เราไปถึงเป้าหมายได้” กรณ์ระบุ
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP