หุ้นไทยวันนี้ (30 สิงหาคม) เปิดการซื้อขายในแดนบวก และปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตลอดทั้งวัน ก่อนมาปิดการซื้อขายที่ 1,633.77 จุด +22.57 จุด หรือ +1.40% มูลค่าการซื้อขาย 117,382 ล้านบาท
กรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน-กลยุทธ์การลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า หุ้นไทยวันนี้ (30 สิงหาคม) ปรับตัวเพิ่มขึ้นสอดคล้องกับตลาดหุ้นในภูมิภาค โดยได้รับปัจจัยบวกจากต่างประเทศและในประเทศ
ปัจจัยต่างประเทศคือผลประชุมของ Fed ครั้งสำคัญที่แจ็กสันโฮล ซึ่งเป็นไปตามคาดการณ์ โดย เจอโรม พาวเวลล์ ประธาน Fed จะประกาศการทำ Tapering ในเดือนพฤศจิกายนนี้ และเริ่มทำ Tapering ในธันวาคมนี้ ถ้อยแถลงดังกล่าวทำให้ความกังวลเรื่องที่ Fed จะเริ่มทำ Tapering ในเดือนกันยายนนี้คลี่คลายลง
ส่วนปัจจัยในประเทศ คือการเปิดเมืองอีกครั้ง ซึ่งจะเริ่มในวันที่ 1 กันยายนนี้ ปัจจัยนี้ทำให้นักลงทุนคลายความกังวลเรื่องตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันในประเทศลง
อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าปัจจัยบวกในประเทศน่าจะสนับสนุนดัชนีได้จนถึงวันที่เปิดเมือง หรือวันที่ 1 กันยายน จากนั้นดัชนีน่าจะปรับฐานอีกครั้ง และรอติดตามตัวเลขผู้ติดเชื้อในประเทศ
“ดัชนีรอบนี้น่าจะอยู่ในกรอบ 1,630-1,650 จุด และเรายังคงคำแนะนำเดิมคือลงทุนในตลาดหุ้น 50% ของพอร์ต ส่วนระยะกลางถึงยาวยังชื่นชอบกลุ่มโรงไฟฟ้า โรงพยาบาลขนาดใหญ่ และกลุ่มสื่อสาร ซึ่งจะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจเมื่อมีการเปิดเมืองอีกครั้ง” กรภัทรกล่าว
ฝ่ายวิจัย บล.เคทีบีเอสที ระบุว่า การประชุม Fed ที่เมืองแจ็กสันโฮล ท่าทีของ Fed ต่อการลด QE และขึ้นดอกเบี้ยเป็นไปตามกำหนดการเดิม โดยจะเริ่มลด QE ปลายปีนี้ ซึ่งฝ่ายวิจัยมองว่าเป็นบวกต่อตลาด เพราะมีความชัดเจนมากขึ้น
ทั้งนี้การปรับพอร์ตของนักลงทุนส่วนใหญ่ก็ทำกันไปแล้ว ผลกระทบจากการลด QE จึงมีน้อยเมื่อเทียบกับปี 2013 ซึ่งมองเป็นบวกต่อตลาดหุ้นและราคา Commodity ขณะเดียวกันคาดว่าเงินลงทุนจะกลับเข้าตลาดหุ้นเอเชีย หลังจากขายมาค่อนข้างหนักช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา และค่าเงินภูมิภาคนี้น่าจะค่อยๆ แข็งค่าขึ้น โดยเชื่อว่าจะเห็นแรงซื้อของนักลงทุนต่างประเทศในตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ด้วยเช่นกัน
ขณะเดียวกัน วันนี้หุ้นกลุ่มพลังงานปรับเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก โดยหุ้น PTT +2.65% หุ้น PTTEP +4.15% หุ้น PTTGC +2.82% หุ้น TOP +4.17% และหุ้น GPSC +2.17% เนื่องจากเกิดพายุเฮอริเคนทำให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้น
โดยสำนักข่าว Reuters รายงานว่า เมื่อวันที่ 29 สิงหาคมที่ผ่านมา บริษัทพลังงานได้ระงับการผลิตน้ำมันในอ่าวเม็กซิโกในปริมาณ 1.74 ล้านบาร์เรลต่อวัน (MBD) หลังจากพายุเฮอริเคนไอดาพัดเข้าชายฝั่งอ่าวเม็กซิโก ซึ่งพายุเฮอริเคนไอดา (ตอนนี้จัดเป็นพายุระดับ 4 เทียบเท่ากับเฮอริเคนลอราในปีที่แล้ว) กำลังเคลื่อนตัวเข้าใกล้พอร์ตโฟร์ชอนในรัฐลุยเซียนา ซึ่งเป็นที่ตั้งของท่าส่งน้ำมันนอกชายฝั่งลุยเซียนา
ทั้งนี้บริษัทพลังงานหลายแห่ง ซึ่งรวมถึง BP Chevron และ Shell ได้พากันอพยพพนักงานออกจากแท่นขุดเจาะน้ำมันจำนวน 288 แท่น ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันในอ่าวเม็กซิโก ขณะที่เกือบ 94% ของการผลิตก๊าซธรรมชาติในอ่าวเม็กซิโกหยุดดำเนินการผลิต
ฝ่ายวิจัย บล.เคทีบีเอสที มีมุมมองเป็นบวกต่อหุ้นในกลุ่มพลังงาน โดยแท่นผลิตนอกชายฝั่งในอ่าวเม็กซิโกนั้นคิดเป็น 17 และ 5% ของการผลิตน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติของสหรัฐฯ อีกทั้งกำลังการผลิต 45% ของโรงกลั่นในสหรัฐฯ ก็ตั้งอยู่ตามแนวชายฝั่งด้วย
โดยปกติแล้วพายุระดับ 4 จะทำให้โรงกลั่นต้องหยุดประมาณ 4-6 สัปดาห์ ซึ่งจะส่งผลบวกต่อราคาผลิตภัณฑ์น้ำมัน ล่าสุดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าราคาน้ำมันดิบเบรนต์และ WTI สูงขึ้น 2% ขณะที่สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันแก๊สโซลีนปรับตัวสูงขึ้น 4% ในนิวยอร์ก
ฝ่ายวิจัยยังคงคำแนะนำ ‘มากกว่าตลาด’ สำหรับกลุ่มพลังงาน ทั้งนี้แม้ในระยะสั้นหุ้นในกลุ่มโรงกลั่นอาจจะได้รับผลบวกจากราคาน้ำมันแก๊สโซลีนที่ปรับขึ้นแรง แต่ในระยะกลางถึงยาว โดยชื่นชอบ PTTEP (ซื้อ/เป้า 142.00 บาท) มากกว่าจากแนวโน้มปริมาณขายที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง