‘ข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง’ (Belt and Road Initiative: BRI) ที่กลายเป็น Talk of the World เป็นการผลักดันของประธานาธิบดีสีจิ้นผิงมาตั้งแต่ปี 2013 ด้วยการปลุกฟื้นคืนชีพเส้นทางสายไหม โดยใช้คำว่า Silk Road Economic Belt และคำว่า Maritime Silk Road in the 21st Century เพื่อแสวงหาความร่วมมือในการสร้างพันธมิตรกับประเทศต่างๆ และยังได้นำประเด็น BRI ใส่ไว้ใน ‘ธรรมนูญพรรคคอมมิวนิสต์จีน’ มาตั้งแต่ปี 2017 สะท้อนว่า แผนริเริ่ม BRI คือ A Must ที่จีนต้องทำอย่างจริงจังและต่อเนื่อง
มาจนถึงวันนี้ ครบรอบ 10 ปี แผนริเริ่ม BRI ได้กลายเป็นยุทธศาสตร์ใหม่แห่งทศวรรษ จีนได้ลงนามความร่วมมือด้าน BRI กับประเทศต่างๆ มากกว่า 150 ประเทศในภูมิภาค 5 ทวีป และลงนามกับ 30 กว่าองค์กรระหว่างประเทศ สีจิ้นผิงขยายอิทธิพลของจีนผ่านการสร้างเครือข่ายความร่วมมือ BRI จนสามารถสร้างสมการของอำนาจใหม่ขึ้นมาในโลก
ครบรอบหนึ่งทศวรรษของ BRI มีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง ผลประโยชน์เบื้องหลังของจีนในการผลักดันยุทธศาสตร์ BRI มีอะไรบ้าง สีจิ้นผิงคิดการใหญ่อะไร รวมทั้งข้อกังวลของฝ่ายต่างๆ ที่มีต่อข้อริเริ่ม BRI มีอะไรบ้าง บทความนี้จะมาวิเคราะห์เพื่อหาคำตอบในแต่ละประเด็น ดังนี้
ประเด็นแรก ยุทธศาสตร์ BRI สร้างการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง
หากศึกษาข้อมูลจากเอกสารทางการจีนคือ สมุดปกขาวเรื่อง The Belt and Road Initiative: A Key Pillar of the Global Community of Shared Future (เผยแพร่เมื่อวันที่ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา) ซึ่งรายงานผลการดำเนินการภายใต้ BRI ในรอบหนึ่งทศวรรษ สรุปได้ดังนี้
ในช่วง 10 ปีจีนได้สร้างความร่วมมือมากกว่า 3,000 โครงการภายใต้ BRI รวมมูลค่าการลงทุนมากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ เช่น โครงการรถไฟใน สปป.ลาว ที่เชื่อมโยงไปจนถึงจีนตอนใต้, โครงการรถไฟความเร็วสูงในอินโดนีเซีย (จากกรุงจาการ์ตาไปเมืองบันดุง) และโครงการท่าเรือสำคัญในประเทศต่างๆ เป็นต้น ในจำนวนนี้มีมากกว่า 50 โครงการที่เน้นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและความร่วมมือด้านการพัฒนาสีเขียว (Green Development) ที่จีนลงนามกับ 31 ประเทศ
ที่โดดเด่นมากคือ การออกไปลงทุนในต่างประเทศของจีนเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา จีนกลายเป็นผู้ออกไปลงทุนในต่างประเทศมากเป็นอันดับ 3 ของโลก ข้อมูลในปี 2022 ตัวเลข Outward FDI ของจีนในประเทศ BRI มีมูลค่าสูงถึง 57,130 ล้านดอลลาร์ ล่าสุดตัวเลขในรอบ 7 เดือนแรกของปีนี้ มูลค่าการออกไปลงทุนในต่างประเทศของจีนก็ยังคงขยายตัวต่อเนื่องประมาณร้อยละ 18.1 หากคิดเฉพาะการลงทุนจีนในประเทศ BRI มีสัดส่วนร้อยละ 19 และข้อมูลในเอกสารสมุดปกขาว ฝ่ายจีนยังได้รายงานว่า ในรอบ 10 ปีจีนสร้างงานในต่างประเทศมากถึง 421,000 อัตรา
ในเชิงภูมิศาสตร์ ความร่วมมือภายใต้ BRI แบ่งออกเป็น 6 ระเบียงเศรษฐกิจสำคัญ ดังนี้
1. ระเบียงเศรษฐกิจแลนด์บริดจ์ยูเรเชียใหม่ (New Eurasian Land Bridge Economic Corridor) เชื่อมโยงเส้นทางรถไฟจากจีน ผ่านเอเชียกลาง ประเทศคาซัคสถาน รัสเซีย เบลารุส ไปจนถึงโปแลนด์ และเชื่อมต่อไปอีกหลายประเทศยุโรป เช่น เยอรมนี และสเปน
2. ระเบียงเศรษฐกิจจีน-เอเชียกลาง-เอเชียตะวันตก (China-Central and West Asia Economic Corridor: CCWAEC) เริ่มต้นจากซินเจียงในจีน ผ่านเอเชียกลาง ไปยังอ่าวเปอร์เซีย ชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และคาบสมุทรอาหรับ เช่น อิหร่าน ซาอุดีอาระเบีย ไปจนถึงตุรกี
3. ระเบียงเศรษฐกิจจีน-ปากีสถาน (China-Pakistan Economic Corridor: CPEC) มีจุดเริ่มต้นที่เมืองคาสือ (คัชการ์) ของซินเจียงในจีน ไปสิ้นสุดที่ท่าเรือกวาดาร์ในปากีสถาน
4. ระเบียงเศรษฐกิจจีน-มองโกเลีย-รัสเซีย (China-Mongolia-Russia Economic Corridor: CMREC) เชื่อมจีนตอนเหนือกับมองโกเลียและรัสเซีย
5. ระเบียงเศรษฐกิจบังกลาเทศ-จีน-อินเดีย-เมียนมา (Bangladesh-China-India-Myanmar Economic Corridor: BCIMEC) เพื่อเชื่อมโยงจีน ผ่านเมียนมาและอินเดีย ไปยังภูมิภาคเอเชียใต้
6. ระเบียงเศรษฐกิจจีน-คาบสมุทรอินโดจีน (China-Indochina Peninsula Economic Corridor: CICPEC) ระเบียงเศรษฐกิจนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับไทยและเพื่อนบ้านในคาบสมุทรอินโดจีน ได้แก่ กัมพูชา สสป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม หรือ CLMV และเป็นประเทศภายใต้กรอบความร่วมมือล้านช้าง-แม่น้ำโขง (Lancang-Mekong Cooperation: LMC) ที่จีนผลักดันด้วย
ประเด็นที่สอง จีนสร้าง BRI ให้เป็นยุทธศาสตร์แห่งศตวรรษได้อย่างไร
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา สีจิ้นผิงมีการเดินสายไปเยือนประเทศต่างๆ เพื่อสร้างสายสัมพันธ์ แสวงหาแนวร่วม และสานต่อความร่วมมือ BRI ในด้านต่างๆ อย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่อให้ทุกฝ่ายได้ตระหนักว่า BRI ไม่ได้เป็นเพียงแค่โครงการฉาบฉวย และ BRI ก็ไม่ได้เป็นแค่ความตกลงการค้าเสรี หรือ FTA เท่านั้น เนื่องจากกรอบ BRI จะเน้นเชื่อมโยงความร่วมมือใน 5 ด้านหลัก (Five Links) ได้แก่ ด้านประสานนโยบาย ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านการค้าไร้อุปสรรค ด้านการบูรณาการทางการเงิน และด้านการเชื่อมโยงประชาชน ดังนี้
1. ด้านการประสานนโยบาย (Policy Coordination) ฝ่ายจีนจะศึกษาข้อมูลนโยบายหลักของแต่ละประเทศว่ามีอะไรบ้าง เพื่อเสนอการประสานนโยบาย / การลงนามความร่วมมือในระดับต่างๆ รวมไปถึงแลกเปลี่ยนเทียบเคียงในเชิงยุทธศาสตร์ระดับชาติร่วมกับรัฐบาลของแต่ละประเทศ เช่น ในกรณีของไทย ฝ่ายจีนก็จะพยายามเชื่อมโยง BRI กับโครงการ EEC ของรัฐบาลไทย
2. ด้านการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐาน (Facilities Connectivity) เพื่อเชื่อมโยงและลงทุนก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานในประเทศต่างๆ ทั้งระบบรางรถไฟ ท่าเรือ ถนน รวมทั้งเครือข่ายการสื่อสารโทรคมนาคม เช่น ระบบเทคโนโลยี 5G รวมไปถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน เช่น โรงงานผลิตไฟฟ้า ระบบส่งกระแสไฟฟ้า ท่อก๊าซ และน้ำมัน
นอกจากนี้จีนยังได้เป็นโต้โผจัดตั้ง ‘ธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแห่งเอเชีย’ (Asian Infrastructure Investment Bank: AIIB) จนสำเร็จในปี 2015 และการจัดตั้งกองทุนเส้นทางสายไหม (Silk Road Fund) เพื่อเป็นกองทุนในการโครงสร้างพื้นฐานในประเทศต่างๆ ที่เข้าร่วมแผนริเริ่ม BRI
3. ด้านการค้าที่ไร้อุปสรรค (Unimpeded Trade) เพื่อเอื้อให้มีการขยายการค้าระหว่างประเทศที่เข้าร่วม BRI และร่วมกันสร้างระบบเครือข่าย / ยกระดับการเปิดเสรีให้มากขึ้น จากรายงานในสมุดปกขาว นับตั้งแต่ปี 2013-2022 การค้าของจีนกับประเทศในกลุ่ม BRI เติบโตเฉลี่ยร้อยละ 8.6 ประเทศใน BRI เป็นคู่ค้าสำคัญของจีน สัดส่วนร้อยละ 32.9 ของการค้าทั้งหมดของจีน และล่าสุด ในปี 2022 จีนมีการนำเข้า-ส่งออกกับประเทศต่างๆ ภายใต้ BRI มูลค่ารวมทะลุ 13.83 ล้านล้านหยวน
4. ด้านการบูรณาการทางการเงิน (Financial Integration) เพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางการเงินภายใต้ BRI และความร่วมมือด้านเทคโนโลยีทางการเงิน การชำระเงินระบบอิเล็กทรอนิกส์แบบข้ามพรมแดน ตลอดจนความร่วมมือด้านการกำกับดูแลทางการเงิน เพื่อรับมือกับความเสี่ยงและภาวะวิกฤตทางการเงิน รวมทั้งการผลักดันให้มีการทำธุรกรรมระหว่างกันด้วยสกุลเงินท้องถิ่นให้มากขึ้น เป็นต้น
นอกจากนี้จีนจะให้ความช่วยเหลือภายใต้ BRI ในรูปของเงินหยวน โดยคาดหวังว่าในระยะยาวประเทศเหล่านั้นจะมีการใช้สกุลเงินหยวนในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศให้มากขึ้น
5. ด้านการเชื่อมโยงระดับประชาชน (People-to-People Bond) เพื่อสร้างภาพลักษณ์ด้านบวกของจีนในด้านอื่นที่ไม่ใช่เศรษฐกิจ เช่น ด้านวัฒนธรรม การศึกษา รวมทั้งด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ภายใต้ BRI จีนจึงได้ทุ่มเทงบประมาณเพื่อแจกทุนและจัดโครงการแลกเปลี่ยน / การจัดคณะทัศนศึกษาดูงานในประเทศจีนให้กับนักเรียน นักศึกษา เยาวชน สื่อมวลชน พรรคการเมือง เจ้าหน้าที่รัฐบาล และองค์กรที่ไม่ใช่รัฐในประเทศต่างๆ ที่เข้าร่วม BRI จึงชัดเจนว่าการเชื่อมโยงด้านนี้เป็นการใช้ Soft Power ของจีน เพื่อปลูกฝังภาพลักษณ์ด้านบวกของจีนในสายตาต่างประเทศ และเพื่อสร้างสายสัมพันธ์ในระดับประชาชน
ประเด็นที่สาม ผลประโยชน์เบื้องหลังในการผลักดันยุทธศาสตร์ BRI
มีหลายเหตุผลและแรงจูงใจในการริเริ่ม BRI ผลประโยชน์ที่จีนคาดหวังจากยุทธศาสตร์ BRI มีหลากหลายมิติ ดังนี้
ในแง่เศรษฐกิจระหว่างประเทศ ยุทธศาสตร์ใหญ่ BRI ช่วยจีนในการแสวงหาโอกาสใหม่ๆ แหล่งลงทุนใหม่ๆ ตลอดจนการแสวงหาแหล่งทรัพยากรใหม่ๆ และการแสวงหาตลาดใหม่ๆ ไม่ใช่เพียงแค่การส่งออกสินค้าจีนเหมือนในอดีต แต่ภายใต้ BRI จีนได้มีการส่งออกเทคโนโลยีจีน และส่งออกแพลตฟอร์มจีนไปทั่วโลก รวมไปถึงการสร้างห่วงโซ่อุปทานเชื่อมโยงกับจีนที่หลากหลายและครอบคลุมภูมิภาคต่างๆ เพื่อลดต้นทุนและสร้างเครือข่ายการผลิตการค้าของจีนขยายไปทั่วโลก
ทั้งหมดนี้ย่อมจะช่วยติดอาวุธทางเศรษฐกิจให้จีนสามารถรับมือกับความขัดแย้งกับสหรัฐอเมริกาที่ไม่รู้ว่าจะยืดเยื้อยาวนานเพียงใด ในแง่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ยุทธศาสตร์ BRI จึงเป็นเครื่องมือสำคัญทางนโยบายต่างประเทศของจีน และเป็นกลไกหลักในการขยายบทบาทของจีน เพื่อสร้างเครือข่ายและแสวงหาแนวร่วมในการคานอำนาจกับสหรัฐฯ
ที่สำคัญจีนต้องการทำ Financial Decoupling เพื่อแยกตัวทางการเงินกับสหรัฐฯ ลดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่มากเกินไป ซึ่งมีความเสี่ยงและความไม่แน่นอนจากความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ในยุคสีจิ้นผิงจีนปรับมาเน้นนำเงินไปลงทุนใน Real Sector ผ่านการออกไปลงทุนโดยตรงในต่างประเทศที่จับมือกับจีนภายใต้ BRI เนื่องจากจีนมีทุนสำรองเงินตราฯ มากที่สุดในโลก
ในอดีตจีนนำเงินทุนสำรองฯ เหล่านี้ไปทุ่มซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ สีจิ้นผิงจึงต้องการปรับเปลี่ยนรูปแบบมาลงทุนในลักษณะ Outward FDI ผ่านความร่วมมือ BRI หันไปเน้นการออกไปลงทุนในต่างประเทศ (มากกว่าแค่การลงทุนด้วยการทุ่มซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เหมือนในอดีต) เช่น การกว้านซื้อที่ดินหรือแหล่งทรัพยากรแร่ธาตุในต่างประเทศ รวมทั้งการเข้าซื้อบริษัทชื่อดังระดับโลกหลายแห่ง เป็นต้น
นอกจากนี้เหตุผลส่วนหนึ่งในการผลักดันยุทธศาสตร์ BRI ก็เพื่อแก้ปัญหาภายในของจีน เช่น เพื่อใช้ BRI เป็นช่องทางกระจายสินค้าที่จีนมีการผลิตล้นเกิน (Over Capacity) ตัวอย่างเช่น แผงโซลาร์เซลล์ จีนจึงต้องการแสวงหาตลาดใหม่ๆ ผ่านความร่วมมือ BRI เพื่อเร่งระบายส่งออกสินค้าที่ผลิตล้นเกินเหล่านี้
ในแง่ความมั่นคงภายในประเทศ จีนใช้ยุทธศาสตร์ BRI มาหยิบยื่นโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับดินแดนที่ยังคงมีปัญหาชนกลุ่มน้อยคือซินเจียง ที่ยังคงมีกลุ่มมุสลิมอุยกูร์หัวรุนแรง ด้วยการเชื่อมโยงซินเจียงกับประเทศในเอเชียกลางไปจนถึงยุโรปผ่านเส้นทางรถไฟ ไปจนถึงการเชื่อมโยงเส้นทางขนส่งพลังงานเข้าสู่จีนผ่านซินเจียง สีจิ้นผิงต้องการใช้ BRI เพื่อการกระจายความเจริญให้ซินเจียง หวังจะใช้ประโยชน์จากศักยภาพของซินเจียงที่มีพรมแดนติดต่อกับเพื่อนบ้านมากถึง 8 ประเทศ
ทั้งนี้ ซินเจียงเคยเป็นชุมทางการค้าโบราณของเส้นทางสายไหมที่เคยรุ่งเรืองในยุคประวัติศาสตร์ รวมทั้งเป็นแหล่งทรัพยากรและแหล่งพลังงานที่สำคัญ ทั้งแร่หายาก (Rare Earth) น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน และพลังงานลม
ประเด็นสุดท้าย ข้อกังวลหรือความหวาดระแวงที่มีต่อแผนการใหญ่ BRI ของสีจิ้นผิงมีอะไรบ้าง
ภายใต้แผนริเริ่ม BRI จีนออกไปลงทุนต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะการลงทุนในแหล่งทรัพยากรธรรมชาติและแหล่งพลังงานในหลายประเทศ จนสร้างความหวาดระแวงกับกระแสทุนจีนบุกโลก มีข้อกังขากับการที่รัฐบาลจีนนำกองทัพทุนจีนออกไปลงทุนผ่าน BRI เพื่อหวังจะให้รัฐวิสาหกิจจีนหรือบริษัทจีนได้ ‘โกอินเตอร์’ เป็นการเดินเกมเชิงยุทธศาสตร์เพื่อผลประโยชน์ของจีนเองหรือไม่
มีการตั้งคำถามว่า จะเป็นการสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับบริษัทของจีน และเอื้อให้คนจีนย้ายถิ่นไปทำมาหากินในต่างประเทศ จนส่งผลกระทบต่อธุรกิจท้องถิ่นในประเทศเหล่านั้นที่แข่งขันสู้ทุนจีนไม่ได้ และคนท้องถิ่นในประเทศเหล่านั้นจะได้ประโยชน์จากการเข้ามาของทุนจีนอย่างไร เป็นต้น
นอกจากนี้การที่ผู้นำจีนเดินทางไปจับมือกับรัฐบาลประเทศต่างๆ เพื่อทำโครงการภายใต้ความร่วมมือ BRI บางส่วนจีนก็ให้ความช่วยเหลือ บางส่วนรัฐบาลประเทศนั้นก็ต้องกู้จากจีนเป็นมูลค่ามหาศาล จึงถูกมองว่าเป็นการสร้างภาระหนี้ให้กับรัฐบาลประเทศเหล่านั้น ทำให้มีนักวิชาการต่างชาติเริ่มตั้งคำถามว่า นี่คือ การทูตกับดักหนี้ (Debt-Trap Diplomacy) หรือไม่ จีนเร่งให้ประเทศต่างๆ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และจีนให้เงินกู้ด้วยต้นทุนดอกเบี้ยที่สูง ทำให้รัฐบาลประเทศเหล่านั้นเข้าสู่วิกฤตหนี้มูลค่ามหาศาลในอนาคต เป็นต้น
โดยสรุป สีจิ้นผิงผลักดันแผนการใหญ่ BRI ไม่ได้มีเพียงแค่ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือในการสร้างพันธมิตร แสวงหาแนวร่วมแบบเนียนๆ ไม่โฉ่งฉ่าง เหตุผลเบื้องหลังที่จีนริเริ่ม BRI จึงมีทั้งแรงจูงใจทางการเมืองระหว่างประเทศและประเด็นภูมิรัฐศาสตร์ จีนตระหนักดีว่า
ในอนาคตการเติบใหญ่ของจีนจะต้องถูกสกัด ยับยั้ง และปิดล้อม โดยมหาอำนาจเดิมอย่างสหรัฐฯ ที่มองว่าจีนในฐานะมหาอำนาจใหม่จะมาท้าทาย จีนจึงไม่รอให้ตัวเองถูกกระทำ หากแต่สีจิ้นผิงใช้ยุทธศาสตร์ BRI ไปแสวงหาพรรคพวกหรือสร้างแนวร่วมในเชิงรุกไว้ก่อน
หนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา กาลเวลาได้พิสูจน์แล้วว่าจีนได้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ และก้าวกระโดดขึ้นมาเป็นอีกชาติมหาอำนาจที่มีอิทธิพลระดับโลก ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ ในขณะนี้ข้อริเริ่ม BRI กลายเป็น ‘ยุทธศาสตร์แห่งศตวรรษ’ ตามแผนการใหญ่ของสีจิ้นผิงที่มุ่งมั่นจะให้เป็นอภิมหาโครงการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกในรอบ 100 ปีนั่นเอง