หนึ่งในคำขวัญหรือสโลแกนทางฟุตบอลที่ถูกจดจำมากที่สุดในโลกลูกหนังยุคสมัยใหม่คือคำว่า Make Us Dream
คำคำนี้เกิดขึ้นในช่วงฤดูกาล 2013-14 หรือเมื่อประมาณ 6 ปีที่แล้ว ในฤดูกาลที่ทีม ‘หงส์แดง’ ลิเวอร์พูล ขยับเข้าใกล้กับสิ่งที่พวกเขาเฝ้าฝันและถวิลหาตลอดช่วงระยะเวลา 24 ปี (ในขณะนั้น)
คนที่เป็นผู้นำในปฏิบัติการตามล่าท้าฝันในวันนั้นคือ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ผู้จัดการทีมคนหนุ่มวัยย่าง 40 ที่ทำให้แฟนบอลลิเวอร์พูลทั้งโลกได้กลับมาสัมผัสกับความรู้สึกหัวใจเต้นตูมตามอีกครั้งกับการไล่ล่าตำแหน่งแชมป์ลีกสูงสุดที่ห่างหายไปนานเกือบ 1 ใน 3 ของชั่วอายุคน
แต่ความฝันวันนั้นไม่ได้กลายเป็นความจริง และ ณ เข็มนาฬิกาเดินไป ลิเวอร์พูล ก็ยังทำความฝันให้กลายเป็นความจริงไม่ได้ แม้ว่ามันจะใกล้ความจริงมากแล้วก็ตามเมื่อฤดูกาลที่แล้ว
น่าเศร้าสำหรับกุนซือไอริชแมน เมื่อทีมของเขาทั้งเสียศูนย์และสูญเสียจากความผิดหวัง ลิเวอร์พูลไม่สามารถกลับมาเป็นทีมที่ดีเหมือนเช่นฤดูกาลแห่งความฝันได้อีก
ร็อดเจอร์สก็ไม่แตกต่างกัน เขาไม่สามารถชุบชีวิตทีมได้เหมือนนกฟีนิกซ์ที่ฟื้นคืนชีพได้จากเถ้าถ่าน
สถานการณ์ที่ย่ำแย่ต่อเนื่องนำไปสู่วันที่ฝ่ายบริหารของลิเวอร์พูล ตัดสินใจเด็ดขาด
1 ชั่วโมงหลังจบเกมเมอร์ซีย์ไซด์ดาร์บีที่ลิเวอร์พูล เสมอกับเอฟเวอร์ตัน ไมค์ กอร์ดอน หนึ่งในผู้บริหารระดับสูงสุดโทรหากุนซือคนหนุ่มเพื่อแจ้งข่าวร้าย และวันนี้ (4 ตุลาคม) คือวันครบรอบวันที่เขาพ้นจากหน้าที่ในแอนฟิลด์
วันเวลาผ่านมา 4 ปีแล้วครับ หลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปมาก โดยเฉพาะลิเวอร์พูล พวกเขาคืนชีพอีกครั้งและเหมือนจะแกร่งและมั่นคงกว่าเก่าภายใต้การนำของ เจอร์เกน คล็อปป์ ที่เข้ารับตำแหน่งเพียงไม่กี่วันหลังร็อดเจอร์สถูกคำสั่งปลด
แต่ไม่ใช่แค่ทีมเก่าของเขาที่เปลี่ยนแปลงไป เพราะตัวของกุนซือคนหนุ่มเองก็เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากเช่นกัน
ร็อดเจอร์สในวันนี้เติบโตขึ้น เขาไม่ใช่กุนซือคนหนุ่มไก่อ่อนคนเดิมอีก
และแม้เขาจะไม่ได้คุมทีมในระดับ Top 6 ของพรีเมียร์ลีก แต่เลสเตอร์ภายใต้การนำของเขาคือทีมที่น่าจับตามองมากที่สุดในฐานะทีมที่มีโอกาสจะแทรกตัวเข้าเป็น Top 6 หรืออาจได้กระทั่ง Top 4 ทีมใหม่ภายในฤดูกาลนี้
4 ปีที่ผ่านมา ร็อดเจอร์สได้เรียนรู้อะไรบ้าง
ในบทสัมภาษณ์ของเขาที่มีต่อ เจมี คาร์ราเกอร์ อดีตลูกทีมของเขา เขายอมรับว่าในวันที่รับตำแหน่งนายใหญ่แห่งแอนฟิลด์ในวัย 39 ปี เขามีความมั่นใจว่าเขาจะทำหน้าที่กับสโมสรในระดับท็อปของโลกได้
แม้ว่าประสบการณ์ในการทำงานของเขาจะมีแค่ 3 ปีเท่านั้น แถมเป็นสโมสรเล็กอย่างวัตฟอร์ด เรดดิง และสวอนซีก็ตาม
“แน่นอนว่าในช่วงเวลานั้นผมรู้สึกมั่นใจมากว่าผมจะทำได้ มันเป็นโอกาสที่ผมไม่สามารถปฏิเสธได้”
ความมั่นใจนั้นไม่ผิดครับอะไรครับ เพียงแต่ชีวิตคนเรานั้นบางครั้งความสดใหม่อย่างเดียวอาจไม่พอ บางครั้งชีวิตก็ต้องการวันเวลาเพื่อบ่มเพาะให้เราเป็นคนที่ดีและพร้อมขึ้นกว่าเดิม
“สิ่งที่ผมได้เรียนรู้ตลอดหลายปีที่ผ่านมาคือการทำตัวให้เหมือนไวน์ ยิ่งเก่าเก็บก็ยิ่งรสชาติดีขึ้น”
ที่พูดแบบนี้ได้เพราะช่วงเวลาที่ผ่านมา ร็อดเจอร์สได้เรียนรู้ชีวิตพอสมควร โดยเฉพาะช่วงเวลาที่มีความหมายที่สุดสำหรับเขาก็คือช่วงที่พ้นจากตำแหน่งในทีมลิเวอร์พูล
เพราะเขาได้เรียนรู้ถึงความอ่อนแอที่ถูกปกปิดไว้ด้วยการทำหน้าที่ที่ต้องอาศัยภาพลักษณ์ที่เข้มแข็งในฐานะนายใหญ่แห่งแอนฟิลด์
ภายใน 2 สัปดาห์แรกหลังพ้นจากตำแหน่ง ร็อดเจอร์สเดินทางไปดูไบและมีคืนหนึ่งที่เขาเกิดความกังวลว่าเขาอาจจะหัวใจวายเพราะมีอาการเจ็บหน้าอก
ทีแรกเขาคิดว่ามันอาจเป็นกรรมพันธุ์เหมือนที่แม่ของเขาเคยประสบมาก่อน แต่เมื่อเขารีบไปโรงพยาบาล คำตอบที่เขาพบได้คือร่างกายของเขาไม่ได้เป็นอะไร แค่เพียงมันเริ่มเยียวยาตัวเองหลังจากที่ไม่ต้องตกอยู่ในสภาวะกดดันที่เขาต้องเผชิญตลอดระยะเวลา 3 ปีในทีมลิเวอร์พูล
ช่วงเวลาที่เขาพยายามจะไม่เครียดและคิดว่าเขารับมือความเครียดและความกดดันอยู่ แต่ความจริงแล้วร่างกายและจิตใจของเขาได้รับผลกระทบจากสิ่งเหล่านี้มาโดยตลอดโดยที่เขาไม่รู้ตัว
วันนั้นเป็นวันที่เขาได้รู้จักตัวเอง และได้เรียนรู้ว่าวิธีที่ดีที่สุดในการจะรับมือกับความเครียดคือการยอมรับว่าตัวเองเครียด จากนั้นจึงค่อยพยายามบริหารจัดการความเครียดของตัวเองให้ได้ ไม่ให้มันมีผลกระทบกับตัวเองมากนัก
หลังการพักฟื้นร็อดเจอร์สตอบตกลงรับงานในการคุมทีมกลาสโกว์ เซลติก สโมสรในฝันของเขาเมื่อเดือนพฤษภาคม 2016 และสามารถนำทีม The Bhoys กวาดทุกแชมป์ในสกอตแลนด์ ก่อนที่จะเกิดความรู้สึกอิ่มตัวเมื่อต้นปีที่ผ่านมาก่อนจะตัดสินใจที่จะรับข้อเสนอจากเลสเตอร์ ซิตี้ ที่ต้องการผู้จัดการทีมคนใหม่แทนที่ของโคลด ปูแอล
ช่วงเวลานั้นเซลติกกำลังมีลุ้นแชมป์ทุกรายการในบ้านเกิด แต่ร็อดเจอร์สรู้ว่าเขาต้องการความเปลี่ยนแปลงถึงแม้ว่าจังหวะเวลาจะไม่เหมาะสมนักก็ตาม
เพราะชีวิตคนเรามันเปลี่ยนแปลงได้ทุกเวลานาที แต่สิ่งสำคัญคือการที่เขารู้ว่านี่จะเป็นการตัดสินใจที่เขาจะไม่มีวันเสียใจ
เลสเตอร์อาจไม่ใช่ทีมในระดับท็อปแม้ว่าพวกเขาจะสร้างเทพนิยายบันลือโลกในการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกเมื่อฤดูกาล 2015-16 ก็ตาม แต่ในสายตาของร็อดเจอร์สแล้ว สโมสรแห่งนี้เป็นสโมสรที่มีทุกอย่างพร้อม โดยเฉพาะเหล่านักเตะแห่งอนาคต
เจมส์ แมดดิสัน เพลย์เมกเกอร์ตัวเก่งของ The Foxes เป็นหนึ่งในผู้เล่นที่เขาจับตามองมานานตั้งแต่ยังเล่นให้กับอเบอร์ดีนในสกอตแลนด์ และมาเริ่มแจ้งเกิดกับนอริช ก่อนจะมาอยู่กับเลสเตอร์ตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้ว
เมื่อได้ร่วมงานกัน ร็อดเจอร์สจึงได้พบว่าแมดดิสัน เป็นผู้เล่นที่เก่งกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก! และนั่นก็ไม่น่าแปลกใจอะไรที่กุนซือที่ถนัดในการขัดเกลาผู้เล่นอย่างเขาจะช่วยยกระดับการเล่นของสตาร์ทีมชาติอังกฤษจนเวลานี้กลายเป็นหนึ่งในตัวทำเกมที่น่าจับตามองมากที่สุด จะเป็นรองเหล่าตัวเทพอย่าง ดาบิด ซิลบา, เควิน เดอ บรอยน์, แบร์นาโด ซิลวา หรือริยาด มาห์เรซ อดีตฮีโร่ของชาวเลสเตอร์ก็เพียงไม่มาก
นอกจากเขาแล้ว ร็อดเจอร์สยังมีขุนพลที่เก่งกาจอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นดาวเด่นอย่าง เบน ชิลเวลล์, ฮาร์วีย์ บาร์นส์, เดอมาราย เกรย์ และ ยูริ ตีเลอมันส์ ที่เขาตัดสินใจขอให้สโมสรซื้อตัวขาดหลังประทับใจในฟอร์มการเล่นนับตั้งแต่ถูกยืมตัวมาจากโมนาโก
แต่กลุ่มคนที่เป็นกระดูกสันหลังของทีมจริงๆ คือตัวเก๋าอย่าง เจมี วาร์ดี, แดนนี ซิมป์สัน, เวส มอร์แกน, มาร์ค อัลไบรท์ตัน, แคสเปอร์ ชไมเคิล ซึ่งไม่ได้แก่แล้วแก่เลย แต่ยังเต็มไปด้วยไฟของความมุ่งมั่น ตั้งใจฝึกซ้อมอย่างหนัก ความร้อนแรงของรุ่นพี่ทำให้นักเตะรุ่นน้องไฟลุกตามไปด้วย
ในตารางคะแนนพรีเมียร์ลีกเวลานี้ เลสเตอร์ อยู่ในอันดับที่ 3 เป็นรองลิเวอร์พูล 7 แต้มแต่ตามหลังรองจ่าฝูงอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้แค่ 2 แต้มเท่านั้น และมีผลต่างประตูได้เสียมากถึง 8 ลูก ซึ่งดีกว่าทีมอย่างท็อตแนม ฮอตสเปอร์, เชลซี หรืออาร์เซนอล ด้วยซ้ำไป
อีกหนึ่งหลักฐานในการเติบโตของร็อดเจอร์ส คือการที่เขาไม่ได้สร้างทีมจิ้งจอกให้เล่นในรูปแบบเดียวกับที่เคยสร้างชื่อให้กับเขาในสมัยคุมสวอนซี ทีมเล็กๆ ที่สามารถเล่นในสไตล์ Tiki-Taka อันลือเลื่องจนได้รับสมญาว่าเป็น ‘สวอนซีโลนา’
เลสเตอร์เป็นทีมที่เล่นอย่างมีสมดุล มีความพอดีลงตัวทั้งในเกมรุกและเกมรับ การสูญเสีย แฮร์รี แม็กไกวร์ ไม่ได้ส่งผลอะไรร้ายแรงต่อทีมอย่างที่ใครกังวลเมื่อ ชากลาร์ โซยุนซู ทดแทนได้อย่างไม่เคอะเขินและเหมือนจะดีกว่าในบางด้าน ขณะที่เกมรุกพวกเขาเน้นที่ความรวดเร็วและแม่นยำ
อาจจะไม่ถึงกับดีเลิศในทุกด้าน แต่อย่างน้อยเลสเตอร์ วันนี้ก็เป็นทีมที่เล่นฟุตบอลที่ดีมากๆ และถูกมองว่าเป็นหนึ่งในไม่กี่ทีมที่อาจจะสามารถต่อกรกับลิเวอร์พูลในเวลานี้ได้
เกมในคืนวันเสาร์นี้ (5 ตุลาคม) ยังเป็นการกลับมาเยือนแอนฟิลด์ครั้งแรกของเขานับตั้งแต่จากไปเมื่อ 4 ปีก่อน
ร็อดเจอร์สยืนยันว่าเขาไม่มีความรู้สึกติดลบอะไรในใจ และยังรู้สึกขอบคุณกับโอกาสที่ได้รับ รวมทั้งอยากจะแสดงความยินดีกับลิเวอร์พูลโดยเฉพาะลูกทีมของเขาหลายคนที่สู้จนประสบความสำเร็จ ซึ่งหนึ่งในคนที่เขาภูมิใจที่สุดคือกัปตันทีมจอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่ปฏิเสธจะยอมแพ้หลังถูกเขาแจ้งว่าเป็นหนึ่งในเงื่อนไขที่ทีมจะส่งตัวเพื่อแลกกับ คลินท์ เดมพ์ซีย์
ตั้งแต่วันนั้น เฮนเดอร์สันสู้ไม่ถอยจนได้กลายเป็นกัปตันทีมอีกคนที่ได้ชูถ้วยแชมเปี้ยนลีกจากความสำเร็จในฤดูกาลที่แล้ว
สำหรับร็อดเจอร์ส ความสำเร็จที่เซลติกกับการคว้าแชมป์ถึง 7 รายการในเวลาไม่ถึง 3 ปี อาจจะเทียบกับถ้วย Big Ears ใบเดียวไม่ได้ แต่อย่างน้อยเขาก็ได้เรียนรู้อะไรมากมายจากช่วงเวลา 3 ปีในแอนฟิลด์ และอีก 4 ปีที่เขาจากที่แห่งนี้มา
ล้มได้ก็ลุกได้ บาดแผลคือการเรียนรู้ และทุกสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วดีเสมอ
เขาเอง Move on แล้ว เช่นกับกับลิเวอร์พูล และเลสเตอร์เองก็เช่นกัน
‘บ่ายสามโมงวันเสาร์’ เขาจะเดินลงสู่สนามที่เคยเป็นดินแดนแห่งความฝันอีกครั้งในฐานะที่แตกต่าง
ไม่ใช่แค่เป็นคนรักเก่า แต่เป็นคู่แข่งคนใหม่ที่เติบโตกว่าเดิม ทั้งยังคงคิดถึงและเต็มไปด้วยความปรารถนาดีต่อกันไม่เปลี่ยนแปลง
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
- บ้านพักปัจจุบันของ เจอร์เกน คล็อปป์ ในเมืองลิเวอร์พูล ก็เป็นบ้านที่เบรนแดน ร็อดเจอร์ส เคยอยู่มาก่อน โดยในช่วงที่กุนซือชาวเยอรมัน เพิ่งย้ายมาและยังหาที่พักไม่ได้ ร็อดเจอร์สเป็นคนติดต่อเจ้าหน้าที่สโมสรว่าให้ย้ายมาอยู่แทนเขาซึ่งมีแพลนจะย้ายไปลอนดอนสักพักได้เลย – ปัจจุบันคล็อปป์ก็ยังอยู่ที่บ้านหลังนี้
- กรณีที่มีการวิจารณ์ว่าผลงานของลิเวอร์พูลในฤดูกาล 2013-14 เป็น หลุยส์ ซัวเรซ โชว์ ร็อดเจอร์สยืนยันว่า ถ้าพูดแบบนั้นก็ถือว่าเป็นการมองข้ามผู้เล่นคนอื่นๆ มาก
- เกมที่เป็นจุดเปลี่ยนคือการแพ้เชลซีคาบ้าน 2-0 หลายคนวิจารณ์ร็อดเจอร์สว่าอ่อนประสบการณ์ไม่ยอมเล่นเอาเสมอ ทั้งๆ ที่ขอแค่ 1 แต้มก็เพียงพอ แต่เขายืนยันว่าการตัดสินใจเล่นเปิดเกมรุกคือสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เพราะทีมชนะรวดมา 11 นัด และไม่คิดว่าการเล่นตั้งรับจะเป็นทางเลือกที่ดีของทีม
- หนึ่งในประสบการณ์ที่เหลือเชื่อที่สุดของร็อดเจอร์สในการคุมลิเวอร์พูลคือการเจอแฟนบอล 94,000 คนที่มาชมเกมพรีซีซันที่ออสเตรเลีย เขาไม่ได้กลัวแต่เขาอยากสนุกไปกับมัน
- ส่วนสิ่งที่เขารู้สึกพลาดและจะไม่ทำอีกเด็ดขาดคือการอัดสารคดี Being Liverpool