วันนี้ (17 ธันวาคม) ศ. กิตติคุณ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะฝ่ายกฎหมายของรัฐบาล กล่าวถึงกรณีที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบคำถามประชามติคำถามแรกเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่รัฐสภาส่งมา ซึ่งระบุว่า “ท่านเห็นด้วยหรือไม่ที่จะให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” ตามมติที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2568 ก่อนที่จะมีมติที่ประชุม ครม. ให้ส่งข้อมูลไปยังสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เมื่อวานนี้ (16 ธันวาคม)
ศ. กิตติคุณ บวรศักดิ์กล่าวว่า ครม. ได้อาศัยพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ และฉบับแก้ไข พ.ศ. 2568 มาตรา 9 วรรคสอง (4) และมาตรา 11 วรรคท้าย สามารถกำหนดวันทำประชามติแม้ระยะเวลาไม่ถึง 60 วัน และทำประชามติพร้อมกับวันเลือกตั้งในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 ได้ ทั้งยังเห็นว่าช่วยประหยัดงบประมาณกว่า 4 พันล้านบาท รวมถึงยังช่วยประชาชนไม่ต้องไปใช้สิทธิถึง 2 ครั้ง และหากไม่ไปครั้งใดครั้งหนึ่งก็จะถูกตัดสิทธิในการเลือกตั้ง อีกทั้งยังช่วย กกต. ไม่ต้องจัดเลือกตั้งถึง 2 ครั้ง ที่เสียทรัพยากรต่างๆ อีกจำนวนมากด้วย
สำหรับสาเหตุที่ ครม. ส่งคำถามไป 2 คำถาม คือของ ครม. ใช้ช่องทางกฎหมายประชามติ มาตรา 9 (2) และมาตรา 11 วรรคท้าย ที่ระบุว่า “ท่านเห็นชอบว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่” และส่งคำถามประชามติของรัฐสภา ตามมาตรา 9 (4) ที่ระบุว่า “ท่านเห็นด้วยหรือไม่ที่จะให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” ตามมติที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2568 นั้น
ศ. กิตติคุณ บวรศักดิ์ระบุว่า เนื่องจากคำถามจากรัฐสภาอาจสุ่มเสี่ยง ว่าไม่เป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และไม่เป็นไปตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ มาตรา 16 ที่ระบุว่า การแก้ไขหรือจัดทำรัฐธรรมนูญใช้คำว่า “เห็นชอบ” ไม่สามารถใช้คำว่า “เห็นด้วยหรือไม่” ตามข้อเสนอของรัฐสภาได้ ทั้งหากส่งคำถามของรัฐสภาเพียงอย่างเดียว แล้ว กกต. ตีตก จะมีปัญหากันหมด และประชาชนก็จะเสียโอกาสในการทำประชามติการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พร้อมกับวันเลือกตั้ง
“ครม. จึงส่งคำถามเข้าไปประกบคำถามของรัฐสภา และยังสะท้อนให้เห็นถึงความจริงใจและตั้งใจที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามที่ตกลงไว้ตาม MOA กับพรรคประชาชน และสอดรับการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาอีกด้วย” ศ. กิตติคุณ บวรศักดิ์กล่าว
ส่วนที่ สมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต. ตั้งข้อสังเกตว่า การทำประชามติพร้อมกัน กับวันเลือกตั้งไม่สามารถทำได้เพราะระยะเวลาไม่ถึง 60 วัน จะขัดต่อกฎหมายประชามติ และอาจทำให้เป็นโมฆะ ซึ่ง ครม. และ กกต. ต้องชดใช้เงินกว่า 3 พันล้านบาทนั้น ศ. กิตติคุณ บวรศักดิ์กล่าวว่า สมชัยเคยอ่านกฎหมายประชามติ มาตรา 11 วรรคท้าย ที่ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมปี 2568 หรือไม่ ขณะที่เรื่องดังกล่าวนี้ ตนก็หารือกับ กกต. ตั้งแต่พบกันเมื่อวันที่ 15 ธันวาคมแล้ว ไม่มีปัญหาอะไร
ศ. กิตติคุณ บวรศักดิ์ ยังกล่าวถึงการทำประชามติเรื่องการยกเลิก MOU43-44 ระหว่างไทย-กัมพูชา ว่าส่วนตัวมีความเห็นเช่นเดียวกับคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาข้อดีข้อเสียการยกเลิก MOU43-44 เพื่อแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ของวุฒิสภา ที่มี นพดล อินนา สว. เป็นประธาน แต่เนื่องจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นว่าขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 169 (1) เพราะรัฐบาลรักษาการไม่สามารถอนุมัติเรื่องที่มีผลผูกพันต่อ ครม. ชุดใหม่ได้
“เมื่อเป็นเช่นนั้นเราก็ไม่ทำ เพราะถ้าทำแล้วเกิดความเสี่ยงว่าเป็นไปตามความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ก็จะทำให้การลงประชามติเสียไปได้ แต่ยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้ผิดคำพูด และได้ทำตามนโยบายที่แถลงไว้แล้ว แต่ติดขัดตรงมีปัญหาต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 169 (1) ตามที่คณะการกฤษฎีกาให้ความเห็นมา” ศ. กิตติคุณ บวรศักดิ์ระบุ


