เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวเปิดงานโครงการ ‘ประสานพลังเพื่อคู่ค้า เดินหน้าฟื้นฟูธุรกิจ’ ว่า การแพร่ระบาดโควิด-19 เป็นวิกฤตสาธารณสุขในวงกว้าง ซึ่งเป็นบททดสอบความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจไทยและภาคธุรกิจ โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs และรายย่อย โดยตั้งแต่เริ่มเกิดวิกฤตสาธารณสุขในปี 2563 เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบและหดตัวเกือบมากที่สุดในภูมิภาค เนื่องจากโครงสร้างเศรษฐกิจไทยพึ่งพาการท่องเที่ยวซึ่งได้รับผลกระทบจากโควิด-19 รุนแรง
อีกทั้งการแพร่ระบาดระลอก 3 และการกระจายวัคซีนที่มีความไม่แน่นอนสูง ทำให้คาดว่าเศรษฐกิจอาจจะใช้เวลาในการฟื้นตัว และกว่าจะกลับมาสู่ภาวะปกติหรือใกล้เคียงกับช่วงก่อนการเกิดการแพร่ระบาดก็ราวในไตรมาส 1 ปี 2566
“การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลต่อกำลังซื้อและกิจกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งภาคธุรกิจจะวัดกันที่สายป่านเป็นสำคัญ SMEs หลายรายขาดสภาพคล่องและไม่สามารถกลับสู่การดำเนิธุรกิจได้ SMEs จึงต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน ซึ่งตั้งแต่ต้นปี 2563 หน่วยงานรัฐ รวมถึง ธปท. ได้ออกมาตรการช่วยเหลือมาตลอด”
เศรษฐพุฒิกล่าวว่า ที่ผ่านมา SMEs หลายรายไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้เพราะเป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยง ในช่วงที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนสูง อีกทั้งสถาบันการเงินก็ประเมินความเสี่ยงของ SMEs ได้ยากเพราะขาดข้อมูล รวมทั้งยังขาดคนกลางที่จะช่วยชี้เป้า SMEs ที่มีศักยภาพที่จะกลับมาฟื้นตัวเพื่อให้ความช่วยเหลือส่งไปตรงจุด
ดังนั้นเพื่อเร่งแก้ปัญหาของ SMEs ไม่ให้ลุกลามไปมากกว่านี้ ทั้ง 4 ภาคส่วนคือ รัฐบาล สถาบันการเงิน ผู้ประกอบการรายใหญ่ และ SMEs จึงต้องทำงานร่วมกันเพื่อยกระดับบทบาทของตนให้ SMEs เข้าถึงแหล่งเงินทุนอย่างทันการ
โดยธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลังเห็นความจำเป็นเร่งด่วนในการออกมาตรการทางการเงินเพิ่มเติมจาก ‘พระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 (พ.ร.ก. Soft Loan)’ โดยคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบต่อร่าง ‘มาตรการให้ความช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (มาตรการฟื้นฟูฯ)’ วงเงินรวม 3.5 แสนล้านบาท มีระยะเวลาเบิกเงินกู้ 2 ปีนับตั้งแต่วันที่กฎหมายจะมีผลบังคับใช้ และขยายต่ออายุได้อีก 1 ปีหากมีเหตุจำเป็น
มาตรการฟื้นฟูฯ นี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อดูแลผู้ประกอบธุรกิจที่มีศักยภาพให้สามารถประคับประคองกิจการ พยุงระดับการจ้างงาน และมีโอกาสในการฟื้นฟูศักยภาพ รองรับโลกยุคหลังวิกฤตโควิด-19 โดยในการจัดทำมาตรการในครั้งนี้ เป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคสถาบันการเงิน และภาคเอกชน เพื่อให้มั่นใจได้ว่าสามารถตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจและสอดรับกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป โดยจำแนกมาตรการเป็น 2 หมวด ตามลักษณะปัญหาที่ต่างกัน ดังนี้
1. มาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบธุรกิจ (สินเชื่อฟื้นฟู) วงเงิน 2.5 แสนล้านบาท มุ่งเน้นให้สถาบันการเงินส่งผ่านสภาพคล่องดังกล่าวแก่ผู้ประกอบธุรกิจ SMEs ที่ได้รับผลกระทบแต่ยังมีศักยภาพ
2. มาตรการสนับสนุนการรับโอนทรัพย์ชำระหนี้ และให้สิทธิลูกหนี้ซื้อคืน (โครงการพักทรัพย์ พักหนี้) วงเงิน 1 แสนล้านบาท มุ่งเน้นในการช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบรุนแรง ต้องใช้เวลานานในการฟื้นตัว แต่ยังมีศักยภาพและมีทรัพย์สินเป็นหลักประกัน ด้วยการเจรจากับเจ้าหนี้สถาบันการเงินเพื่อหยุดหรือลดภาระหนี้
ผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย และกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ภาคธนาคารเป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญในการช่วยเหลือให้ประเทศผ่านพ้นวิกฤต ซึ่งไม่ได้จำกัดเฉพาะความช่วยเหลือทางการเงินเท่านั้น ยังได้ร่วมมือกับภาครัฐและเอกชน ต่อยอดนำดิจิทัลแพลตฟอร์มและข้อมูลของภาครัฐเข้ามาช่วยเสริมกลไกภาครัฐในการกระจายวัคซีนไปยังประชาชน เพื่อลดการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยเร็วที่สุด
นอกจากนี้ยังได้ออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่มอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้ออกมาตรการสินเชื่อรายย่อย มาตรการสินเชื่อฟื้นฟู และมาตรการพักทรัพย์ พักหนี้ เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องและลดภาระทางการเงินให้กับผู้ประกอบธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจค้าปลีกที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้เม็ดเงินจำนวนมากหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ มีผู้ประกอบการ SMEs ที่เป็นรากฐานของเศรษฐกิจไทยเกี่ยวข้องถึง 2.5 ล้านราย หรือประมาณ 81% ของผู้ประกอบการ SMEs ทั้งประเทศ และเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีการจ้างงานมากที่สุดถึง 9 ล้านคน คิดเป็น 77% ของการจ้างงานในภาค SMEs หรือมากถึง 54% ของการจ้างงานทั้งหมด
“ภายใน 6 เดือน ทางสถาบันการเงินในสมาคมธนาคาร คาดว่าจะสามารถปล่อยสินเชื่อมาตรการฟื้นฟูฯ ได้ราว 1 แสนล้านบาท และประเมินว่าหัวใจของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจคือความเร็วในการได้มาซึ่งวัคซีน และความเร็วในการกระจายวัคซีนอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยง เพราะกิจการต่างๆ จะฟื้นตัวได้ต้องอาศัยการเคลื่อนที่ การมีวัคซีนจะทำให้เกิดการเคลื่อนที่และเอื้อให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยคาดการณ์ว่าหากกระจายวัคซีนเป็นไปตามแผน ในไตรมาส 4 ปีนี้ก็น่าจะเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัว และปีนี้มีโอกาสที่จะเห็น GDP เติบโตได้ 1.5% ถ้าภาครัฐกระจายวัคซีนได้อย่างทั่วถึงในเดือนกรกฎาคมนี้ตามแผน แต่ถ้าลากยาวออกไปถึงเดือนสิงหาคม ผลกระทบก็จะเกิดเป็นระลอกๆ” ผยงกล่าวในฐานะประธานสมาคมธนาคารไทย
ในส่วนของธนาคารกรุงไทย ได้สนับสนุนคู่ค้าและพันธมิตรของเดอะมอลล์ กรุ๊ป อย่างเต็มที่ ผ่าน 2 มาตรการ ประกอบด้วย
1. สินเชื่อฟื้นฟู เพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการ อัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 2% ต่อปีในช่วง 2 ปีแรก ผ่อนชําระสูงสุดไม่เกิน 10 ปี
2. สินเชื่อประเภทเงินทุนหมุนเวียนสำหรับคู่ค้าของเดอะมอลล์ กรุ๊ป ซึ่งเป็นวงเงินกู้เบิกเกินบัญชี โดยให้วงเงินตามธุรกรรมการค้า ข้อดีของสินเชื่อประเภทนี้คือ ใช้หลักประกันต่ำและได้อัตราดอกเบี้ยพิเศษ เริ่มต้น MRR สามารถกู้ได้สูงสุด 20 ล้านบาท อีกทั้งยังสามารถใช้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ค้ำประกันร่วมกับการใช้หลักทรัพย์อื่นได้
ขณะที่ ชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า ธนาคารกรุงเทพมีมาตรการช่วยเหลือลูกค้าธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ในรูปสินเชื่อฟื้นฟู ตามมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลังเพื่อวัตถุประสงค์หลัก 2 ด้าน คือ 1. เพื่อเสริมสภาพคล่อง ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการประคับประคองธุรกิจไว้ และรักษาการจ้างงาน และ 2. เพื่อฟื้นฟูธุรกิจ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการรีสตาร์ทธุรกิจให้เดินหน้าได้ตามศักยภาพเมื่อสถานการณ์คลี่คลาย
สินเชื่อฟื้นฟูตามมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลังในครั้งนี้ มีเงื่อนไขที่ค่อนข้างยืดหยุ่นและเปิดกว้างขึ้น คืออัตราดอกเบี้ยต่ำมาก ให้วงเงินสูงขึ้น ระยะเวลากู้ยาวขึ้น วงเงินสูงขึ้น และเปิดกว้างขึ้นทั้งสำหรับรายใหม่ที่ไม่เคยกู้ และ SMEs ที่ไม่มีหลักประกัน โดยธนาคารกรุงเทพตั้งเป้าสำหรับการให้สินเชื่อตามมาตรการสินเชื่อฟื้นฟูของธนาคารแห่งประเทศไทยไว้ 1.5 หมื่นล้านบาท
อาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยถูกกระทบหนักจากโควิด-19 มีการฟื้นตัวที่ช้า สร้างความบอบช้ำและแผลเป็นทางเศรษฐกิจที่ลึกกว่าเดิม ธุรกิจต่างๆ ล้วนได้รับผลกระทบโดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่ม SMEs ที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ
ธนาคารไทยพาณิชย์ขานรับมาตรการทางการเงินเพื่อช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจ (สินเชื่อฟื้นฟู) ตามนโยบายของ ธปท. ร่วมกับเดอะมอลล์ กรุ๊ป และ 5 สถาบันการเงินชั้นนำของประเทศ ในครั้งนี้ นอกจากนี้ยังได้เตรียมสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษเพื่อเสริมสภาพคล่องทางธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการที่เป็นคู่ค้าของเดอะมอลล์ กรุ๊ป โดยเฉพาะ รวมถึงโซลูชันทางธุรกิจต่างๆ ที่จะช่วยผู้ประกอบการรายย่อย ลดรายจ่าย เพิ่มยอดขาย และขยายกิจการ
ขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า KBank มีโครงการช่วยเหลือ ทั้งที่เป็นมาตรการสินเชื่อฟื้นฟูของธนาคารแห่งประเทศไทย และ ที่จัดเพิ่มเติมให้เองอีกสำหรับลูกค้า ทั้งลูกค้าธุรกิจและลูกค้ารายย่อยในรูปแบบต่างๆ มากมาย
ในครั้งนี้มาตรการสินเชื่อฟื้นฟูเพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้ธุรกิจที่ธนาคารแห่งประเทศไทยออกมาเพิ่มเติม KBank ได้เตรียมวงเงินเข้าร่วมไว้อีก 1.5 หมื่นล้านบาท หวังว่าจะช่วยลูกค้าได้กว่า 10,000 ราย
พรสนอง ตู้จินดา ประธานกลุ่มธุรกิจลูกค้าธุรกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด กล่าวว่า นับตั้งแต่เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาด ธนาคารได้ติดต่อลูกค้า SMEs เพื่อดูแลอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องเสมอมา ทำให้รู้ถึงผลกระทบที่แท้จริงและสามารถให้ความช่วยเหลือได้ตรงจุด ผ่านมาตรการของภาครัฐและมาตรการของธนาคารเอง โดยล่าสุดเรายังแบ่งการดูแลลูกค้าออกเป็น 2 ช่วง
โดยช่วงที่ 1 เป็นช่วงที่ผู้ประกอบการยังคงเผชิญความยากลำบากจากผลกระทบของการแพร่ระบาด ธนาคารช่วยเหลือลูกค้าโดยสนับสนุนตามนโยบายล่าสุดของธนาคารแห่งประเทศไทย คือมาตรการสินเชื่อฟื้นฟูและมาตรการพักทรัพย์ พักหนี้ รวมทั้งช่วยเหลือด้วยมาตรการเพิ่มเติมจากกรุงศรีเอง
ช่วงที่ 2 เมื่อลูกค้าผ่านพ้นวิกฤตมาได้หรือได้รับผลกระทบน้อย กรุงศรีก็มีสินเชื่ออื่นๆ เพื่อช่วยให้ธุรกิจดำเนินได้อย่างราบรื่นมากขึ้น เช่น สินเชื่อ SME Quick Loan เป็นสินเชื่อระยะยาวแบบมีหลักประกัน ให้วงเงินสูงสุดถึง 15 ล้านบาท ดอกเบี้ยคงที่ 5% ต่อปี 2 ปีแรก เลือกผ่อนชำระได้ยาวถึง 10 ปี สำหรับผู้ประกอบการรายย่อยทั้งนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา
นอกจากความช่วยเหลือทางการเงิน กรุงศรียังคงเดินหน้าสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับลูกค้าธุรกิจมาอย่างต่อเนื่อง ผ่านการเจรจาจับคู่ธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ (Krungsri Business Virtual Matching) และกิจกรรมที่ช่วยสร้างเครือข่ายใหม่ๆ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจได้ในระยะยาว พร้อมรับมือกับอนาคตที่เปลี่ยนไป
ด้าน วิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวว่า การเข้าร่วมโครงการ ‘ประสานพลังเพื่อคู่ค้า เดินหน้าฟื้นฟูเศรษฐกิจ’ ครั้งนี้ ธนาคารออมสินไม่ได้มุ่งเน้นขยายฐานการทำธุรกิจ หากแต่มุ่งหวังที่จะช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs รวมถึงพนักงานและลูกจ้าง SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ให้สามารถประคับประคองธุรกิจและวิถีชีวิตประจำวันให้ผ่านช่วงเวลาวิกฤตนี้ไปได้ ผ่านการเสริมสภาพคล่องแก่ธุรกิจด้วยมาตรการต่างๆ เช่น มาตรการให้การสนับสนุนสินเชื่อฟื้นฟูธุรกิจที่ธนาคารออมสินเข้าร่วมโครงการของธนาคารแห่งประเทศไทย ปล่อยสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยคงที่ 2% ต่อปี (2 ปีแรก)
นอกจากนี้ยังจัดทำมาตรการพิเศษอื่นที่เป็นสินเชื่อผ่อนปรนหลักเกณฑ์ และลดดอกเบี้ยเป็นพิเศษอีกหลายโครงการ เพื่อช่วยเหลือเพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการ ได้แก่
1. สินเชื่อ Soft Loan ช่วยเหลือ SMEs ภาคการท่องเที่ยวและภาคธุรกิจอื่น วงเงินให้กู้สูงสุด 500,000 บาท อัตราดอกเบี้ย 3.99% ต่อปี
2. สินเชื่อ SMEs มีที่ มีเงิน โดยใช้ที่ดินเปล่าหรือที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นหลักประกัน หรือไถ่ถอนจำนองจากสัญญาขายฝาก คิดอัตราดอกเบี้ยปีแรก 0.10% ต่อปี ปีที่ 2 เท่ากับ 0.99% ต่อปี
3. สินเชื่อเพื่อผู้เช่าและผู้ประกอบการธุรกิจ Supply Chain ในเครือข่ายของ บจ.เดอะมอลล์ กรุ๊ป อัตราดอกเบี้ย MOR 1% ต่อปี ส่วนพนักงานและลูกจ้างของผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบอาจเข้าร่วมในโครงการสินเชื่อสู้ภัย COVID-19 ตามสิทธิ์ที่ปรากฏในแอปฯ MyMo วงเงินให้กู้ไม่เกิน 10,000 บาท ปลอดชำระ 6 งวดแรก (ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย) และสินเชื่อจำนำทะเบียนรถมอเตอร์ไซค์ที่ทางธนาคารร่วมกับ บจ.เงินสดทันใจ จัดโปรโมชัน 2 เดือน ลดอัตราดอกเบี้ยเหลือเพียง 0.49% ต่อปี
พิสูจน์อักษร: ชนเนตร ลอยครุฑ