สำนักวิจัย 3 ธนาคารพาณิชย์ คาดการณ์ผลการประชุม กนง. แตกต่างกัน โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ที่ประชุม กนง. มีมติ ‘คง’ ดอกเบี้ยไว้ที่ 1.50% ขณะที่ วิจัยกรุงศรีมอง กนง. มีแนวโน้ม ‘ปรับลด’ อัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในการประชุมเดือนตุลาคมนี้ ส่วน SCB EIC มอง กนง. จะลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งภายในปีนี้ โดยให้น้ำหนักไปที่การประชุมเดือนตุลาคม
KResearch มอง กนง. มีมติคงดอกเบี้ย
บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด (KResearch) คาดว่า ที่ประชุม กนง. จะมีมติไม่เป็นเอกฉันท์ ในการประชุมกนง. วันที่ 8 ตุลาคมนี้ โดยคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% หลังจากได้ปรับลดลง 0.25% ในการประชุมรอบก่อนหน้าเมื่อเดือน ส.ค.
พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า การประชุมดังกล่าว ถือเป็นการประชุมครั้งแรกภายใต้การกำกับของผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ วิทัย รัตนากร พร้อมด้วยกรรมการใหม่อีก 2 ท่าน ได้แก่ สุวรรณี เจษฎาศักดิ์ รองผู้ว่าการ ธปท. ด้านบริหาร และเชาว์ เก่งชน อดีตประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด
อย่างไรก็ตาม แม้กรรมการบางส่วนอาจสนับสนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติม เนื่องจากเศรษฐกิจไทยเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวลง แต่ KResearch มองว่า กรรมการส่วนใหญ่อาจยังเห็นชอบให้คงดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อรอดูผลจากการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในช่วงก่อนหน้า และเก็บกระสุนนโยบายการเงินไว้ใช้ในจังหวะเหมาะสม
มองลดดอกเบี้ย กระทบค่าเงินบาทไม่มาก
นอกจากนี้ KResearch ยังประเมินว่า ธปท. อาจพิจารณาใช้มาตรการอื่นๆ เพิ่มเติมเพื่อดูแลเสถียรภาพค่าเงินบาท เนื่องจากประสิทธิผลของการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายต่อทิศทางค่าเงินบาทอาจมีไม่มากนัก
โดยนับตั้งแต่ต้นปี ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นจากปัจจัยสนับสนุนสำคัญมาจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ ราคาทองคำที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจและการคลังของประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งเป็นแรงจูงใจให้เงินทุนไหลเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่เป็นหลัก
จะเห็นได้ว่า แม้กนง. ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา แต่ค่าเงินบาทก็ไม่ได้อ่อนค่าลงตาม ดังนั้น การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมจึงอาจไม่ส่งผลต่อค่าเงินบาทอย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งนี้ นับตั้งแต่ต้นปี กนง. ได้ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายมาแล้ว 3 ครั้งรวม 0.75%
มอง กนง. ลดดอกเบี้ย 0.25% ในเดือนธันวาคม
สำหรับแนวโน้มระยะถัดไป KResearch ประเมินว่า กนง. จะพิจารณาปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% ในการประชุมเดือน ธ.ค. 68 เพื่อสอดประสานกับนโยบายทางการคลังในการประคองเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 4/2568
โดยคาดว่า เศรษฐกิจในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีจะได้รับแรงกดดันจากการส่งออกที่ชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแรงลง และผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐฯ การท่องเที่ยวที่คาดว่าจะอ่อนแรงลงเมื่อเทียบกับปีก่อน ท่ามกลางแนวโน้มเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำใกล้ศูนย์
ขณะที่ เมื่อมองไปข้างหน้า KResearch คาดว่า กนง. อาจปรับลดดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมในช่วงครึ่งแรกของปี 2569 เพื่อสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินในระยะต่อไปมีทิศทางผ่อนคลายมากขึ้น
โดยคณะกรรมการชุดใหม่มีแนวโน้มให้น้ำหนักกับความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจมากขึ้น ควบคู่ไปกับการดูแลเสถียรภาพทางการเงิน ซึ่งต่างจากคณะกรรมการชุดก่อนที่มุ่งเน้นด้านเสถียรภาพทางการเงินเป็นหลัก
วิจัยกรุงศรี คาด กนง. หั่นดอกเบี้ย 0.25%
วิจัยกรุงศรี มองมาตรการทางการคลังและการผ่อนคลายนโยบายการเงินที่ต่อเนื่อง อาจช่วยพยุงเศรษฐกิจในไตรมาสสุดท้าย หลังภาคส่งออกและอุปสงค์ในประเทศแผ่วลงในไตรมาส 3
โดยเศรษฐกิจไทยมีสัญญาณอ่อนแอลงชัดเจนอาจหนุนให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับลดดอกเบี้ย ตามการรายงานของเศรษฐกิจโดยรวมในเดือนสิงหาคม
สำหรับการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 8 ตุลาคมนี้ ซึ่งเป็นนัดแรกภายใต้การกำกับของผู้ว่าการ ธปท. ท่านใหม่ วิจัยกรุงศรีประเมินว่ามีความเป็นไปได้ที่ กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องจากปัจจุบันที่ 1.50% สู่ 1.25%
SCB EIC มองดอกเบี้ยจะลดลงอีกเพียง 1 ครั้งปีนี้
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) ประเมิน กนง. มีโอกาสลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง (ลงอีก 0.25%) ในปีนี้เหลือ 1.25% โดยให้น้ำหนักไปที่การประชุมเดือนตุลาคม มากกว่าเดือนธันวาคม และอีกครั้งในช่วงต้นปีหน้าเหลือ 1% เพื่อช่วยให้ภาวะการเงินผ่อนคลายมากขึ้น สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่จะเติบโตชะลอลงในปีหน้า อัตราเงินเฟ้อที่ยังต่ำกว่าขอบล่างของกรอบเป้าหมายนโยบายการเงิน และคุณภาพสินเชื่อที่ด้อยลงต่อเนื่อง
ทั้งนี้ภาวะการเงินในช่วงที่ผ่านมายังตึงตัวต่อเนื่อง สะท้อนจากดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริงที่ยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต สินเชื่อที่หดตัวต่อเนื่อง และดัชนีค่าเงินบาทแข็งค่านำ
โดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องจะมีส่วนช่วยประคองเศรษฐกิจ ลดภาระหนี้ และเอื้อต่อกระบวนการ Deleveraging ลดหนี้ของภาคธุรกิจและครัวเรือนได้ แต่อาจไม่ช่วยให้สินเชื่อใหม่ฟื้นตัวได้มากนัก จากความระมัดระวังของทั้งสถาบันการเงินและผู้กู้
สาเหตุที่ทำให้มีโอกาสน้อยลงที่จะเห็น กนง. ลดดอกเบี้ยต่อเนื่องอีก 2 ครั้งในปีนี้ เป็นเพราะการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ทำได้เร็ว ช่วยให้การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณมีความต่อเนื่อง และนโยบายการเงินยังรักษา Policy space ได้บ้าง
“เมื่อการเมืองไทยได้ข้อสรุปเร็ว และ พรบ. งบประมาณปี 2026 ผ่านวุฒิสภาได้ ตลาดมองว่าโอกาสที่ กนง. ต้องรีบลดดอกเบี้ยในเดือนตุลาคม มีน้อยลง เดิมมองโอกาส 90% ซึ่งปรับเหลือเป็น 70% และให้โอกาส 55% ดอกเบี้ยลดไปที่ 1% ณ สิ้นปี” SCB EIC ระบุ
สำหรับแนวโน้มถัดไป ตลาดมองว่า กนง. จะลดดอกเบี้ยไประดับ Terminal rate รอบนี้ที่ 1% ในเดือน มี.ค. 2026 และให้โอกาสเพียง 35% ที่ กนง. จะลดดอกเบี้ยไปที่ 0.75% ในปี 2026
โดยสาเหตุที่จะทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับลดลงจนถึง 1% ในปี 2026 มาจากแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอลงและภาวะการเงินยังตึงตัว โดยเฉพาะเงินบาทแข็งค่าเร็ว อาจเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า
ตลอดจนนโยบายการเงินที่ยังต้องผ่อนคลายต่อเนื่อง และอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริง (Real rate) ยังสูงกว่าในอดีต รวมถึงอัตราเงินเฟ้อไทยซึ่งจะต่ำต่อเนื่องนาน อาจทำให้ครัวเรือนเผชิญภาวะ ‘Debt Deflation’ นำไปสู่ความเสี่ยงภาวะเงินฝืด (Deflation)
ส่อง กนง. นัดแรก ‘วิทัย’ ใครนั่งเป็นกรรมการบ้าง?
สำหรับการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ครั้งที่ 5/2568 ที่จะถึงในวันที่ 8 ตุลาคมนี้ ถือเป็นการประชุมนัดแรกภายใต้การนำของ ‘วิทัย รัตนากร’ ผู้ว่าฯ ธปท. คนใหม่
- วิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ประธานกรรมการ)
- ปิติ ดิษยทัต รองผู้ว่าการ ธปท. ด้านเสถียรภาพการเงิน (รองประธานกรรมการ)
- สุวรรณี เจษฎาศักดิ์ รองผู้ว่าการ ธปท. ด้านบริหาร (กรรมการ)
- ไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน อดีตรองผู้ว่าการ ธปท. ด้านบริหาร (กรรมการ)
- รพี สุจริตกุล ประธานสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (กรรมการ)
- สันติธาร เสถียรไทย ที่ปรึกษาด้าน Future Economy ของ TDRI (กรรมการ)
- เชาว์ เก่งชน อดีตประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด (กรรมการ)
- สักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้ช่วยผู้ว่าการ ธปท. สายนโยบายการเงิน (เลขานุการ)
ทั้งนี้ คณะกรรมการ ธปท. แต่งตั้งขึ้นภายใต้ พ.ร.บ. ธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2485 และได้รับการแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ. ธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 ประกอบด้วยผู้บริหารระดับสูงของ ธปท. 3 คน และ ผู้ทรงคุณวุฒิจากภายนอก 4 คน ดังนี้