×

แบงก์ชาติ เร่งพิสูจน์ ‘เงินไม่รู้ที่มา’ ทะลักเข้าไทย ‘ดร.พิพัฒน์’ เตือนหากไม่เข้าใจมากพอ เสี่ยงทำนโยบายผิดพลาด

19.09.2025
  • LOADING...
ธนาคารแห่งประเทศไทย แถลงชี้แจงกรณีเงินไม่รู้ที่มาในดุลการชำระเงิน พร้อมยืนยันร่วมมือ ปปง. พิสูจน์หาที่มา

‘แบงก์ชาติ’ แจงความคลาดเคลื่อนสุทธิในดุลการชำระเงิน เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ข้อมูลช้า ไปถึงเงินเทา เร่งประสาน ปปง. พิสูจน์แหล่งที่มา แต่ย้ำไม่ใช่ปัจจัยซ้ำเติมบาทแข็ง ยันตัวเลขไทยต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มประเทศรายได้ปานกลางเอเชีย ด้าน ‘ดร. พิพัฒน์’ ชี้ปม ‘เงินลึกลับ’ สะท้อนไทยเข้าใจเงินไหลเข้า–ออกไม่ชัด ห่วงอาจนำไปสู่การทำนโยบายเศรษฐกิจผิดพลาด

 

วันนี้ (19 กันยายน) ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์ และโฆษก ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตอบกรณีที่มีเงินไหลเข้าประเทศที่ไม่รู้ที่ไปที่มา หรือความคลาดเคลื่อนสุทธิในดุลการชำระเงิน (Net Errors and Omissions: NEO) ที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยระบุว่า NEO ไม่ได้เป็นปัจจัยที่กดดันค่าเงินบาทเพิ่มเติม เนื่องจากทุกการไหลเข้าออกของเงินในบัญชีดุลการชำระเงิน (Balance of Payment: BOP) กดดันเงินบาทไปหมดแล้ว

 

“ที่มีคนกังวลว่า Net Errors and Omissions จะส่งแรงกดดันค่าเงินบาทเพิ่มเติม ไม่ใช่อยู่แล้ว เพราะว่าทุกกระแสเงิน (Flow) ที่เข้ามาในดุลการชำระเงินได้ กดดันค่าเงินบาทตั้งแต่แรกในทุกเม็ดอยู่แล้ว” ชญาวดีกล่าว

 

โฆษก ธปท. ยอมรับว่า Net Errors and Omissions อาจเป็นเงินสีเทา หรือมาจากการฟอกเงินได้ เหตุเป็นส่วนที่ ธปท. หาไม่เจอ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน ธปท. ได้ทำงานร่วมกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) อย่างใกล้ชิด เพื่อพิสูจน์หาที่มาที่ไป

 

“อย่างที่ท่านผู้ว่าฯ ธปท. บอกเรื่องทองคำ กรณีที่ส่งออกไปกัมพูชา ธปท. ก็เห็นแค่ข้อมูลส่งออก ในที่สุดแล้วเราก็ขอความร่วมมือในการตรวจสอบไปทางสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) โดย ปปง. ก็คงต้องดำเนินการต่อ และหาว่า เทาหรือไม่เทา” ชญาวดี กล่าว

 

อย่างไรก็ดี ชญาวดีกล่าวว่า เมื่อ ธปท. มีข้อมูลเพิ่มเติมเข้ามาเรื่อยๆ ธปท. ก็จะปรับปรุงตัวเลขได้ (Revised) ทำให้ตัวเลข Net Errors and Omissions แต่ละปีทยอยลดลงโฆษก ธปท. ยืนยันอีกว่า ค่าเฉลี่ย Net Errors and Omissions ของไทย ‘ต่ำกว่า’ ค่าเฉลี่ยกลุ่มประเทศเอเชียรายได้ปานกลาง ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 1.4-1.5% ของมูลค่าการค้าระหว่างประเทศ ในช่วง 10 ปีย้อนหลัง (ระหว่างปี 2014-2023) พร้อมย้ำว่า ประเทศอื่นๆ ก็มี NEO สูงและเผชิญปัญหาเดียวกับไทย

 

เปิดสาเหตุ-ตัวอย่างของ NEO

 

ชญาวดี อธิบายต่อว่า ความคลาดเคลื่อนสุทธิในดุลการชำระเงิน (NEO) เกิดขึ้นได้ในหลายกรณี เนื่องจาก Balance of Payment เป็นการทำสถิติจากการสำรวจข้อมูล (Survey Base) ตัวอย่างเช่น ความช้าของข้อมูล เช่น ในฝั่งเงินไหลออกจากการที่บริษัทต่างชาติในประเทศไทยส่งกำไรกลับประเทศ ธปท. จะไม่เห็นข้อมูลเลย แต่ประมาณการได้ เนื่องจากจะรู้ว่าช่วงไหนใครจะส่งเงินกลับ ก่อนที่จะเห็นตัวเลขจริง ซึ่งบางบริษัทต้องรอ 1-2 ไตรมาส หรือบางบริษัทต้องรอ 1 ปีก่อนจะเห็นรายงานจริง

 

อีกตัวอย่างคือ ข้อมูลนักท่องเที่ยวเข้ามารักษาตัวในโรงพยาบาลในไทย ธปท. ก็พยายามไปที่โรงพยาบาลหลายๆ แห่ง แต่ถามว่า ธปท. ไปได้ทุกโรงพยาบาลได้หรือไม่ คำตอบคือ ‘ไม่ได้’ เพราะฉะนั้น ธปท. จึงต้องประมาณจากข้อมูลที่มี

 

อีกกรณีที่ชาวต่างชาติแต่งงานกับคู่ชีวิตคนไทย นำเงินเข้าประเทศไทย แต่ให้คู่ชีวิตเป็นคนซื้อคอนโดหรือบ้าน ข้อมูลนี้ก็ไม่ลงและจะหายไป เนื่องจาก Balance of Payment คือธุรกรรมระหว่างผู้ที่อยู่อาศัยในประเทศ (Resident) กับชาวต่างชาติ (Non Resident)

 

นอกจากนี้ การระบาดของโควิด ซึ่งนำไปสู่การซื้อขายออนไลน์ในรูปแบบไม่ผ่านแพลตฟอร์ม โดยการค้าขายที่ซับซ้อนมากขึ้น ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิด Net Errors and Omissions

 

โดยโฆษก ธปท. ยังทิ้งท้ายว่า ธปท. มีแผนที่จะปรับปรุงการเก็บข้อมูลให้ดีขึ้นต่อไป

 

‘ดร. พิพัฒน์’ ชี้ปม ‘เงินลึกลับ’ สะท้อนไทยเข้าใจเงินไหลเข้า–ออกไม่ชัด

 

ดร. พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) โพสต์ผ่าน Facebook โดยตั้งข้อสังเกตว่า Net Errors and Omissions หรือ ‘เงินลึกลับในบัญชีดุลการชำระเงิน’ ของไทย ที่มีลักษณะ Large, Persistent, และ One Sided ซึ่ง ผิดวิสัยของ error ของตัวเลขสถิติที่ดี

 

ดร พิพัฒน์ ระบุว่า “NEO อาจจะไม่ได้แปลว่าเรามีเงินลึกลับเข้ามา แต่มันกำลังตั้งคำถามว่า เราเข้าใจสถานการณ์เงินเข้าเงินออกจากประเทศเราดีแค่ไหน และถ้าเราจะออกนโยบายมาแก้ปัญหาค่าเงินบาทที่แข็งค่า เราควรจะแก้ตรงไหนดี ที่จะแก้ที่ต้นเหตุ ไม่ใช่จับที่ปลายเหตุ และไปสร้างปัญหาอื่นๆ ตามมาอีก”

 

ดร. พิพัฒน์ อธิบายต่อว่า โดยหลักแล้ว NEO เป็นเรื่องธรรมดาของสถิติ เพราะไม่มีทางเก็บข้อมูลได้เป๊ะทุกดอลลาร์ ปกติมันควรจะเป็นแค่ ‘เศษข้าวติดหม้อ’ ที่ไม่ต้องสนใจมาก แต่ error ที่ดีควรจะเล็ก มาชั่วครู่ชั่วคราวและหายไป และควรจะ error ได้ทั้งสองฝั่ง แต่ของไทยกลับผิดปกติ เนื่องจากปัจจัยต่างๆ ดังนี้

 

  • NEO ใหญ่ ถึงไตรมาสละ 3–4 พันล้านดอลลาร์
  • NEO ต่อเนื่อง เราเห็น error ใหญ่ๆ แบบนี้มาสองปีแล้ว
  • NEO เอียงข้างเดียว เป็นบวกติดๆ กันมาหลายไตรมาสแล้ว โดยเฉพาะหลังโควิด จนบางไตรมาส NEO ใหญ่กว่า Current Account ด้วยซ้ำ นักเศรษฐศาสตร์เลยอดเกาหัวไม่ได้ว่า เราควรเลิกวิเคราะห์ Current Account แล้วหันไปวิเคราะห์ error กันแทนดีกว่าไหม.

 

เตือนไม่เข้าใจ NEO ความเสี่ยงต่อนโยบายการเงิน

 

ดร. พิพัฒน์ เตือนว่า NEO ของไทยที่กลายเป็น ‘ก้อนหลัก’ ที่บางทีใหญ่กว่าบัญชีจริง สะท้อนว่า เราอาจจะยังเข้าใจเงินไหลเข้าออกประเทศไม่ดีพอก็ได้ และตราบใดที่เราไม่เข้าใจว่า Flows เหล่านี้มีพฤติกรรมอย่างไร เราก็อาจจะตอบไม่ได้ว่ามีปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้เงินบาทแข็งอีกไหม และอาจจะนำไปสู่นโยบายที่ผิดพลาด และสร้างปัญหาอื่นตามมาได้

 

“เช่น เราเห็น Correlation ระหว่างราคาทองกับบาทสูง ก็อยากจะเก็บภาษีการค้าขายทองคำ แต่ถ้าต้นเหตุบาทแข็งไม่ได้เกิดจากการค้าทองคำ นโยบายแบบนี้ก็อาจจะสร้างความบิดเบือนให้กับตลาดทองคำ โดยไม่ได้แก้ปัญหาบาทแข็งที่ต้นทางก็ได้ ถ้าไปแคะกันดูดีๆ อาจจะเจออะไรที่น่าสนใจ และน่าจัดการมากกว่าเก็บภาษีทองคำก็ได้นะครับ” ดร. พิพัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย

 

ธปท.ยังไม่เห็นสัญญาณการเก็งกำไร 

 

นอกจากนี้ โฆษก ธปท. เปิดเผยถึงการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่แข็งค่าว่า ธปท.ยังไม่เห็นสัญญาณการเก็งกำไร โดยเงินบาทแข็งค่ามีปัจจัยหลักมาจากค่าเงินดอลลาร์อ่อน  และการแข็งค่าของเงินบาทยังเป็นไปปัจจัยพื้นฐานสะท้อนจากไทยยังเกิดดุลบัญชีเดินสะพัด และการเมืองในประเทศมีความชัดเจน ถือเป็นอีกปัจจัยสนับสนุนเงินบาทแข็งค่า  

 

นอกจากนี้หากดูตัวเลขเงินทุนเคลื่อนย้ายไหลเข้า/ออกยังเป็นปกติ  โดยตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาถึงล่าสุด (YTD ถึงวันที่ 17 ก.ย. 68) มีเม็ดเงินไหลเข้าตลาดพันธบัตรไทยสุทธิ 1,200 ล้านดอลลาร์ สำหรับข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ฯ พบว่า ตลาดหุ้นไทยมีเม็ดเงินไหลออกสุทธิ 87,000 ล้านบาท (YTD)

 

อย่างไรก็ดี  โฆษกธปท.ยอมรับว่า ช่วงที่เงินบาทแข็งค่าเร็วเกินไป ธปท.ได้เข้าไปดูแลเพื่อลดความผันผวนไม่ให้เร็วและแรงเกินไป  เพื่อให้ผู้ประกอบการในประเทศสามารถปรับตัวได้

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising