วันนี้ (23 กันยายน) ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์ และโฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท. เตรียมหารือกับสมาคมค้าทองคำอีกครั้งในต้นสัปดาห์หน้า เพื่อเร่งหาวิธีลดผลกระทบจากธุรกรรมทองคำต่อค่าเงินต่อเนื่อง หลังจาก ธปท. ได้เชิญสมาคมค้าทองคำเข้าร่วมหารือไปเมื่อวันที่ 15 กันยายนที่ผ่านมา
“ต้องบอกว่า ธปท. พูดคุยกับผู้ค้าทองคำมาต่อเนื่อง เราไม่ได้เพิ่งเห็นปัญหานี้ โดยการหารือครั้งที่ผ่านมา ทำไปเพื่อให้ร้านทองมาช่วยกันระดมสมอง เนื่องจากร้านทองเป็นผู้อยู่หน้างานจึงอาจมีข้อเสนอว่า ถ้าอยากจะทำให้คนเทรดเป็นดอลลาร์มากขึ้น ด้วยต้นทุนที่ไม่ได้สูงขึ้นมากไป เราจะทำอะไรได้บ้าง 1 2 3 4 แล้วค่อยกลับมาคุยกับ ธปท. อีกครั้ง โดย ธปท. จะเอาข้อมูลมาประมวลเพื่อดูว่า จะสามารถช่วยเหลือหรือทำมาตรการเอื้อได้อย่างไร” ชญาวดีกล่าว
โฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย ยังอธิบายว่า ความพยายามดังกล่าวเป็นผลมาจากแนวคิดที่ว่า การเทรดเป็นดอลลาร์เลยจะไม่เกิดแรงกดดันต่อบาท และอาจช่วยลด Correlation Trade ลงไปได้
ชญาวดีกล่าวย้ำว่า มาตรการเก็บภาษีการซื้อขายทองคำก็เป็นหนึ่งในประเด็นที่มีการคุยกัน ซึ่งต้องพิจารณาและศึกษาต่อไปว่า เป็นมาตรการที่ตรงจุดที่สุดหรือไม่ ทำไปจะแก้บาทแข็งได้หรือไม่ เนื่องจากมาตรการดังกล่าวคาดว่า อาจจะส่งผลกระทบข้างเคียงค่อนข้างมาก
ขณะที่ ภาวิณี จิตต์มงคลเสมอ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ปัจจุบัน ในประเทศไทย การซื้อขายทองคำในแพลตฟอร์มอยู่ในสกุลเงินบาทและดอลลาร์อย่างละครึ่งๆ
ภาวิณีเปิดเผยอีกว่า “ในช่วง 2-3 ปีหลัง ธปท. เห็นว่ามีธุรกรรมซื้อ-ขายเงินบาทตามการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ (Correlation Trade) เพิ่มขึ้นมาก ซึ่งสาเหตุมาจากพฤติกรรมการซื้อ-ขายทองคำของคนไทย
โดยราคาทองคำมักปรับสูงขึ้นในช่วงที่เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า เมื่อราคาทองเพิ่มขึ้น คนไทยจะขายทอง ทำให้ร้านทองต้องไปขายทองคำในตลาดต่างประเทศ และเมื่อได้เงินตราต่างประเทศจึงนำมาแลกเป็นเงินบาท ทำให้การแข็งค่าของเงินบาทรุนแรงขึ้น
และในกรณีที่เงินดอลลาร์สหรัฐ ปรับแข็งค่า ราคาทองคำลดลง ก็จะเกิดธุรกรรมตรงกันข้าม จนราคาทองคำกลายเป็นปัจจัยที่ amplify การเคลื่อนไหวของเงินบาททั้งสองด้าน โดยแม้ไทยจะเป็นประเทศผู้นำเข้าทองคำสุทธิ แต่เห็นได้ว่าผลต่อค่าเงินในแต่ละช่วงจะขึ้นกับจำนวนธุรกรรมด้านซื้อและด้านขายช่วงเวลานั้น (gross basis)