วันที่ 5 ของความรุนแรงตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา จำนวนผู้คนที่ต้องอพยพพุ่งสูงแตะเกือบ 140,000 คน กระจายอยู่ใน 7 จังหวัด
ทุกศูนย์พักพิงกลายเป็นด่านหน้ารับมือความรุนแรงที่ไม่ได้มีแค่เสียงระเบิด แต่คือความท้าทายในการจัดการชีวิตของคนนับหมื่นในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
การปะทะกันด้วยอาวุธสงครามที่กินเวลาต่อเนื่องนี้ มีพลเรือนที่ต้องอพยพรวมแล้วทั้งสิ้น 139,646 คน ใน 7 จังหวัด แบ่งเป็น อุบลราชธานี 16,816 คน, ศรีสะเกษ 62,691 คน, สุรินทร์ 39,104 คน, บุรีรัมย์ 10,755 คน, สระแก้ว 4,076 คน, จันทบุรี 450 คน
ทีมข่าว THE STANDARD ลงพื้นที่สำรวจศูนย์อพยพแห่งหนึ่งในอำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งแต่เดิมเป็นสถาบันการศึกษา แต่ต้องแปรสภาพเป็นที่พึ่งพิงและดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชน จนกว่าข้อพิพาทระหว่างสองประเทศจะยุติลงอย่างเป็นรูปธรรม
จากการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์อพยพ ทีมข่าวได้รับฟังมุมมองและความเห็นหลายประการที่ชี้ให้เห็นถึงบทเรียนสำคัญเพื่อการปรับปรุงและอุดรอยรั่วในการรับมือวิกฤตในอนาคต
บทเรียนจากวิกฤต เมื่อแผนรับมือไม่เคยพอ
“เราไม่เคยถูกเรียกซ้อมแผนเพื่อเตรียมการใหญ่ เพราะไม่เคยมีใครคิดว่าเหตุการณ์จะใหญ่ขนาดนี้” อาจารย์ท่านหนึ่งกล่าว
อาจารย์ท่านหนึ่งที่สอนหนังสือประจำในสถาบันแห่งนี้ สะท้อนกับทีมข่าวว่า แม้สถานศึกษาแห่งนี้จะมีขนาดใหญ่และเคยเป็นพื้นที่อพยพสมัยข้อพิพาทเขาพระวิหาร ปี 2554 มาก่อน แต่ขณะนั้นความเสียหายไม่ได้เป็นวงกว้าง ประชาชนไม่เดือดร้อนมากถึงขั้นนี้
ย้อนกลับไปวันแรกทางหน่วยงานกลางได้แจ้งให้สถานศึกษาเตรียมพร้อมดูแลประชาชนสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่แผนรายละเอียดที่ปลีกย่อยลงไปไม่เคยมีใคร หน่วยใดมาวางแนวทางให้ เพราะฉะนั้นไม่ต้องแปลกใจที่ตามจุดอพยพจะเจอปัญหาอย่างเช่น อาหารแจกไม่เพียงพอ บางคนที่รับแล้วก็วนกลับมารับใหม่ หลายคนอยู่ตึกไกลๆ ไม่ได้ยินเสียงประกาศพอมาถึงจุดรับอาหารก็ไม่มีให้กินแล้ว
สำหรับจุดอพยพนี้ต้องใช้วิธีนำบัตรประชาชนมาลงทะเบียนเพื่อแลกคูปองก่อนช่วงเวลาแจกข้าว เมื่อถึงช่วงแจกข้าวหากใครจะรับข้าวต้องมีคูปองมาแลกเพื่อให้สามารถนับจำนวนในการทำมื้ออาหารต่อไป และเพื่อแจกอาหารให้ทั่วถึง
อาจารย์ยังเล่าให้ฟังในส่วนปัญหาการแจกของใช้ คือทำแบบระบบคูปองไม่ได้ เนื่องจากสิ่งของไม่ได้มีเพียงพอสำหรับทุกคน และทุกคนมีความต้องการที่หลากหลายกันไป เช่น ผู้หญิงต้องการชุดชั้นใน แต่ชุดชั้นในเองก็มีหลายขนาด ไม่สามารถแจกจ่ายได้อย่างทั่วถึง
“เป็นเรื่องที่ครูกับผู้บริหารทุกคนต้องถอดบทเรียนกันเองทุกวัน” อาจารย์ท่านนี้กล่าว
ความเสียสละในภาวะวิกฤต
อาจารย์เล่าว่า ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มมีการปะทะ ช่วงเช้าเด็กๆ อยู่ระหว่างเรียนหนังสือ เมื่อพวกอาจารย์ได้รับคำสั่งก็ต้องรีบส่งนักเรียนที่บ้านไกลกลับบ้าน ส่วนเด็กคนไหนที่บ้านอยู่พื้นที่เสี่ยงต้องแยกให้ผู้ปกครองมารับ เพราะสถานศึกษาต้องเปลี่ยนเป็นจุดอพยพช่วยประชาชน
“อาจารย์ผู้ชายต้องดูแลเรื่องช่าง เรื่องความปลอดภัย อาจารย์ผู้หญิงต้องทำงานระบบ ทำครัว ครูมากกว่า 200 คนของเราต้องเป็นเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือประชาชน”
ทีมข่าวยังได้พูดคุยกับข้าราชการที่มีอำนาจตัดสินใจในการบริหารจุดอพยพแห่งนี้ เปิดใจว่า สถานศึกษาแห่งนี้ตั้งเป้ารับดูแลประชาชนไว้ที่ 500 คน แต่ ณ วันที่ 4 ของสถานการณ์ความรุนแรงมีประชาชนจากหลายตำบลหลั่งไหลเข้ามาลงทะเบียนแล้วกว่า 5,000 คน
หน่วยงานกลางแจ้งว่า ที่นี่ต้องเตรียมพร้อมสถานการณ์ฉุกเฉิน รับคนจากตำบลต่างๆ แต่หลังจากนั้นเป็นหน้าที่ของเราเองที่จะวางแผนทุกอย่าง รวมไปถึงจุดอพยพต่างๆ ที่ต้องแก้ปัญหาหน้างานกันเองแบบวันต่อวัน
“ต่างที่กันก็มีวิธีแก้ปัญหาไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของเจ้าหน้าที่” ข้าราชการท่านนี้กล่าว
พร้อมกล่าวต่อว่า ประชาชนตามแนวชายแดนจะมีข้อมูลจากผู้ใหญ่บ้านว่าตำบลไหนเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินต้องไปที่ไหน เพื่อป้องกันความสับสนเวลาเคลื่อนย้าย แต่ในสถานการณ์จริงญาติที่อยู่ต่างตำบลกัน เมื่อมีวิกฤตก็อยากมาอยู่รวมกัน ทำให้บางจุดอพยพมีประชาชนจำนวนมากเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้
“หัวใจศูนย์อพยพคือช่วยเหลือคนเดือดร้อน เราต้องต้อนรับและดูแลเขา ไม่มีคำสั่งให้ปฏิเสธใครสักคน”
แม้ว่าสถานศึกษาแห่งนี้จะมีขนาดใหญ่ แต่ที่ผ่านมาระบบน้ำและไฟเตรียมพร้อมดูแลเด็กนักเรียนประมาณ 2,500 คนต่อวัน ซึ่งเดินทางมาเรียนช่วง 08.00 น. และ กลับบ้านช่วง 18.00 น.
การแปรสภาพเป็นศูนย์อพยพ ที่นี่ต้องดูแลคนมากกว่า 1 เท่าตัว แบบ 24 ชั่วโมง แหล่งน้ำบาดาลที่ใช้หมุนเวียนเข้าระบบกรองน้ำเองก็สูบไม่ทัน แค่เพียงวันที่ 5 ครูฝ่ายช่างต้องเข้าไปดูเครื่องสูบหลายต่อหลายครั้งแล้ว อีกทั้ง ณ จุดนี้ยังดูแลผู้ป่วยติดเตียงมากกว่า 40 ราย
แม้สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา จะยังไร้บทสรุปที่ชัดเจน แต่สิ่งที่ชัดเจนคือ ศูนย์อพยพไม่ได้เป็นเพียงที่หลบภัย แต่คือสมรภูมิการจัดการที่วัดประสิทธิภาพของระบบรัฐ เมื่อเสียงปืนดังขึ้น การปกป้องพลเรือนคือหน้าที่ และความพร้อมไม่ควรเป็นสิ่งที่รอให้เกิดวิกฤตแล้วค่อยคิดหาทาง