ฮารุฮิโกะ คุโรดะ ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ให้สัมภาษณ์พิเศษกับสำนักข่าว Nikkei ว่า BOJ จะเดินหน้าใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายจนกว่าจะบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อที่ระดับ 2% แม้ว่าสถานการณ์แพร่ระบาดโควิดจะคลี่คลายแล้วก็ตาม สะท้อนถึงจุดยืนที่แตกต่างระหว่าง BOJ และธนาคารกลางในสหรัฐฯ และยุโรป ที่เตรียมชะลอการผ่อนคลายนโยบายการเงินของตัวเองลง หลังเศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวชัดเจนขึ้น
ปัจจุบันเศรษฐกิจญี่ปุ่นยังเผชิญกับแรงกดดันด้านต่ำจากการระบาดระลอกใหม่ของโควิดทั้งในประเทศและนอกประเทศ
“ยังมีความไม่แน่นอนสูงในแง่ผลกระทบจากการแพร่ระบาด เราจะเดินหน้าใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายแบบในปัจจุบันต่อไปเพื่อสนับสนุนภาคธุรกิจ และในกรณีจำเป็น เราพร้อมที่จะออกมาตรการผ่อนคลายเพิ่มเติมอย่างไม่ลังเล” คุโรดะกล่าว
ธนาคารกลางในหลายประเทศเชื่อว่า เศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้ดีในขณะที่เงินเฟ้ออยู่ที่ระดับ 2% ก่อนหน้าวิกฤตโควิด เงินเฟ้อในสหรัฐฯ และยูโรโซนอยู่ในระดับต่ำกว่า 2% แต่การฟื้นตัวจากวิกฤตทำให้เมื่อเร็วๆ นี้ เงินเฟ้อสหรัฐฯ ขยับขึ้นเป็น 5% ขณะที่กลุ่มประเทศ EU ขยับเพิ่มเป็น 3% ซึ่งตรงข้ามกับสถานการณ์ในญี่ปุ่นที่เงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับต่ำ
ทั้งนี้ BOJ คาดการณ์ว่าเงินเฟ้อของญี่ปุ่นจะอยู่ที่ระดับ 1% ไปจนถึงปี 2023 ต่ำกว่าระดับเป้าหมายถึงครึ่งหนึ่ง
โดยคุโรดะระบุว่า ระดับเงินเฟ้อที่แตกต่างกันระหว่างญี่ปุ่นกับสหรัฐฯ และยุโรป เกิดจากตลาดแรงงาน โดยญี่ปุ่นเลือกที่จะรักษาระดับการจ้างงานในช่วงโควิดเอาไว้ ดังนั้น เมื่ออุปสงค์ในตลาดกลับมา ภาคการผลิตจะสามารถเพิ่มอุปทานเพื่อรองรับได้ทันที ขณะที่ในสหรัฐฯ ยังมีปัญหาแรงงานกลับเข้าสู่ตลาดที่ล่าช้า ทำให้อุปทานในตลาดขาดแคลน ส่งผลให้เงินเฟ้อและค่าแรงเพิ่มสูงขึ้น
“สถานการณ์ของญี่ปุ่นแตกต่างจากในสหรัฐฯ และยุโรป การดำเนินนโยบายทางการเงินจึงต้องพิจารณาให้เหมาะกับบริบทของแต่ละประเทศ” คุโรดะกล่าว
ผู้ว่าการ BOJ ยังกล่าวด้วยว่า แม้ว่าปริมาณการเข้าซื้อกองทุน ETFs ของ BOJ จะเริ่มลดลงตามทิศทางของตลาดหุ้นที่เริ่มเป็นบวก แต่นโยบายดังกล่าวก็ยังเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยให้ญี่ปุ่นบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อ
“เราจะยังไม่พิจารณาหยุดซื้อหรือโอนย้ายหรือขาย ETFs ในตอนนี้ เรื่องนี้จะถูกตัดสินใจเมื่อระดับเงินเฟ้อเข้าใกล้เป้าหมายที่ 2%” คุโรดะกล่าว
เมื่อเร็วๆ นี้ โยชิฮิเดะ ซูงะ นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของญี่ปุ่น ได้ประกาศว่าจะไม่ลงสมัครชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคเสรีประชาธิปไตย หรือ ‘LDP’ ในช่วงเดือนกันยายนนี้ ทำให้ตลาดการเงินเริ่มตั้งคำถามถึงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลถัดไปของญี่ปุ่น ในประเด็นนี้คุโรดะระบุว่า นโยบายทางเศรษฐกิจถูกตัดสินใจโดยรัฐบาลและสภาก็จริง แต่ระบบที่นโยบายการเงินและการคลังสามารถทำงานหน้าที่ร่วมกันตามบทบาทของตัวเองได้ก็ยังมีอยู่
หนึ่งในนโยบายสำคัญของ BOJ คือ การควบคุม Yield Curve หรือผลตอบแทนของตราสารหนี้ของรัฐบาล โดยปัจจุบันผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นของญี่ปุ่นอยู่ที่ 0.1% ขณะที่ผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวอยู่ที่ 0%
“ดอกเบี้ยจะอยู่ในระดับต่ำต่อไป แม้ว่าจะมีการใช้นโยบายการคลังกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมก็ตาม นโยบายคงดอกเบี้ยเอาไว้ในระดับต่ำจะเอื้อให้นโยบายการคลังมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันก็จะไม่ส่งผลลบต่อตลาดเงิน” ผู้ว่าการ BOJ กล่าว
คุโรดะยังเปิดเผยถึงแผนการพัฒนาเงินสกุลดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง หรือ CBDC ของญี่ปุ่นด้วย โดยระบุว่า BOJ อยู่ระหว่างศึกษาการออกแบบระบบ แต่ขณะนี้ยังไม่มีแผนจะออก CBDC แต่อย่างใด อย่างไรก็ดี BOJ จะจับตาดูสถานการณ์ในประเทศอื่นๆ อย่างใกล้ชิดเพื่อเตรียมความพร้อม
อ้างอิง: