วันนี้ (12 มีนาคม) ความคืบหน้าหลังจากเจ้าหน้าที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดยกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (สำนักงาน ป.ป.ท.), เจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.), เจ้าหน้าที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และเจ้าหน้าที่กรุงเทพมหานคร (กทม.)
ร่วมกันสืบสวนจับกุมและแจ้งข้อกล่าวหาข้าราชการพลเรือน สังกัดกองการกีฬา สำนักวัฒนธรรม และการท่องเที่ยว กรุงเทพมหานคร จำนวน 7 ราย หลังพบว่ามีการเบิกฎีกาจ้างเหมาซ่อมรถโดยสารปรับอากาศขนาด 45-50 ที่นั่งของ กทม. ในห้วงระหว่างปี พ.ศ. 2565-2567 แต่ไม่มีการส่งรถเข้าซ่อมจริง และทำการปลอมใบเสนอราคาของบริษัทซ่อมรถ
หลังเจ้าหน้าที่ทำการสอบปากคำผู้ต้องหาทั้ง 7 คน พล.ต.ต. จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พร้อมเจ้าหน้าที่ได้ร่วมตรวจสอบรถบัสขนาดใหญ่ที่เป็นของกลาง
โดย มณเฑียร เจริญผล ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน เปิดเผยว่า เรื่องดังกล่าวเป็นผลงานชิ้นแรกหลังมีการทำข้อตกลงร่วมกันระหว่าง สตง., ตำรวจสอบสวนกลาง, สำนักงาน ป.ป.ท., สำนักงาน ป.ป.ช. และ กทม.
จากการตรวจสอบเมื่อปี 2565-2567 พบว่ามีการจัดจ้างซ่อมรถบัสปลอม ในการตรวจสอบครั้งแรกพบว่ามีการนำทะเบียนรถบัสของหน่วยงาน กทม. ไปจัดซ่อมที่อู่แห่งหนึ่ง เจ้าหน้าที่จึงไปตรวจสอบว่ามีการซ่อมจริงหรือไม่ แต่พบว่าที่อู่ดังกล่าวอู่ซ่อมรถขนาดเล็กอีกทั้งไม่มีศักยภาพทางเครื่องมือและคนงานในการซ่อมรถบัสขนาดใหญ่ได้
เมื่อทำการขยายผลสืบสวนพบว่าเอกสารใบเสนอราคาที่เป็นขั้นตอนแรกของการทุจริตเป็นเอกสารปลอมทั้งหมด และยังพบว่าขั้นตอนอื่นก็มีการปลอมเอกสาร ต่อเนื่องไปจนถึงขั้นตอนการเบิกจ่าย และผู้ดำเนินการก็เป็นเจ้าหน้าที่ของกรุงเทพมหานคร ซึ่งจากการตรวจสอบเจ้าของอู่ยืนยันว่ามีส่วนเกี่ยวข้องเพียงแค่ให้ใบเสร็จเปล่าที่มีตราของอู่ไปกับเจ้าหน้าที่ กทม. เท่านั้น
มณเฑียรกล่าวต่อว่า กลุ่มผู้ต้องหาทั้ง 7 คน พบว่ามีรายชื่ออยู่ในขบวนการทุจริตจัดซื้อเครื่องออกกำลังกายราคาเกินจริงของกรุงเทพมหานคร โดยการทุจริตเครื่องออกกำลังกายเกิดขึ้นก่อนที่จะพบว่ามีการทุจริตซ่อมรถบัส เมื่อ สตง. พบเรื่องได้ส่งเรื่องไปทาง กทม. จากนั้น กทม. เป็นผู้ประสานนำผู้ต้องหามามอบตัว
พล.ต.อ. อดิศร์ งามจิตสุขศรี ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า เป็นนิมิตหมายอันดีที่ สตง. ได้ทำงานเชิงรุกจึงทำให้เกิดการสืบสวนจับกุมดังกล่าว การตรวจสอบเอกสารของ สตง. ทำให้เรารู้ในสิ่งที่เราไม่เคยรู้มาก่อน ดังนั้นในเรื่องของการให้ความร่วมมือ นอกเหนือจากการที่เราจะช่วยกันตรวจสอบแล้ว เรื่องการให้ข้อมูล เรื่องการตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง จะพยายามเร่งรัดให้วิ่งตามเรื่องของคดีอาญาให้ทันตามคําแนะนําของสำนักงาน ป.ป.ท.
สิ่งที่เราจะต้องทำต่อคือช่วยกันตรวจสอบแนวทางที่ สตง. ได้ใช้ เพราะเชื่อว่าในส่วนของข้าราชการเอง ไม่ได้ดูงานลึกแบบที่ สตง. ดู ดังนั้นการเป็นผู้ชำนาญการในลักษณะแบบนี้ก็เป็นการกระตุ้นเตือนแล้วก็สอนเราไปด้วยในตัวกรุงเทพมหานครเอง ก็ไม่อยากให้มีเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้น ขอให้เจ้าหน้าที่ กทม. ลด ละ เลิก ในสิ่งที่ตัวเองคุ้นชินกับการทำงานในลักษณะนี้มาก่อนเป็นระยะเวลานาน ขอให้หยุดการกระทำตั้งแต่วันนี้ สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถรอดพ้นจากสายตา หรือการตรวจสอบของหน่วยตรวจสอบทั้ง 4 หน่วยนี้ได้
โดยเฉพาะกรุงเทพมหานครจะช่วยเป็นหูเป็นตาในระดับที่เรามีความสามารถเท่าที่จะทำได้ ต้องขอบคุณหน่วยงานทั้ง 4 หน่วยงานที่แจ้งเตือนเรามาโดยตลอด พร้อมทั้งให้เรามีโอกาสประสานความร่วมมือ โดย กทม. ยืนยันว่าจะพยายามตรวจสอบกันเองภายในถ้าทราบเรื่อง แต่ไม่ใช่จะทำกันเอง แต่จะทำหน้าที่ในการแจ้งให้หน่วยตรวจสอบเข้าดำเนินการตามอํานาจหน้าที่ต่อไป
ในกรณีซ่อมรถบัสทิพย์เจ้าหน้าที่ กทม. ทั้ง 7 ราย ถูกแจ้งข้อกล่าวหากระทำผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำเอกสารรับเอกสารหรือกรอกข้อความลงในเอกสาร ร่วมกันรับรองเป็นหลักฐานว่าตนได้กระทำการอย่างใดขึ้น หรือว่าการอย่างใดได้กระทำต่อหน้าตนอันเป็นความเท็จ และร่วมกันรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้นมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นความเท็จ
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 162 (อนุ 1และอนุ 4) และตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83