Bluebik ทุ่ม 1 พันล้าน เข้าซื้อหน่วยธุรกิจ Digital Delivery ของ MFEC พร้อมควบรวมกิจการ กับ Innoviz เสริมแกร่งบริการ Digital Transformation ลูกค้าองค์กรครบวงจร พร้อมบุกตลาดต่างประเทศ กวาดลูกค้ารอบทิศ
พชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บลูบิค กรุ๊ป หรือ BBIK กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้ขยายธุรกิจอย่างหลากหลายเพื่อให้บริการลูกค้าหรือพันธมิตรครอบคลุมทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ โดยมีเป้าหมายขึ้นเป็น Digital Transformation อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อรองรับโอกาสการเติบโตและการแข่งขันในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ‘บลูบิค’ กับแผนเติบโตให้ทันความคาดหวังของนักลงทุน หลังเข้าตลาดครบ 1 ปี
- Bluebik ชักธงรบ เปิดตัว 5 สมาชิกบอร์ดบริหาร ‘ธนา เธียรอัจฉริยะ’ นำทัพ เล็งแต่งตัวเปิด IPO เข้าตลาด mai ปีนี้
- ‘บลูบิค’ เผยกำไรไตรมาส 3 โต 146% อานิสงส์ตลาดดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันขยายตัว เดินหน้ารุกเวียดนาม
ล่าสุดบริษัททุ่มงบกว่า 1 พันล้านบาท เข้าซื้อกิจการในสัดส่วน 100% ของ 2 บริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ประกอบด้วยหน่วยธุรกิจ Digital Delivery ของ บมจ.เอ็ม เอฟ อี ซี หรือ MFEC โดยจะนำทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการวางระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและแอปพลิเคชัน ตลอดจนการพัฒนา Desktop และบล็อกเชน เข้ามาเพื่อให้คำปรึกษาและพัฒนาเทคโนโลยีให้กับลูกค้า Bluebik
ตามด้วย บริษัท อินโนวิซ โซลูชั่นส์ จำกัด หรือ Innoviz ซึ่งมีระบบงาน ERP เพิ่มประสิทธิภาพกำลังการผลิต สามารถสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนและยังมีที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญการวางระบบ Enterprise Resource Planning หรือ ERP ของ Microsoft Dynamics 365 ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการบริการลูกค้าได้
โดยการร่วมทุนดังกล่าวจะทำให้ทั้ง 3 บริษัทเติบโตร่วมกัน เพราะหากทำคนเดียวอาจจะโตช้ากว่า เพราะบริบทการทำ Digital Transformation กำลังเปลี่ยนไป โดยเฉพาะโลกหลังโควิด จึงต้องยกระดับไปสู่การเป็น Digital-First Company ผู้ที่ปรับตัวได้จะมีโอกาสรอดและเติบโต
ยิ่งไปกว่านั้น ดีลที่เกิดขึ้นยังทำให้บริษัทมีผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีเพิ่มขึ้นจาก 350 คน เป็น 780 คน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการคำปรึกษาพัฒนาเทคโนโลยี Digital Excellence & Delivery หรือ DX
ทั้งนี้กระบวนการดังกล่าวคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในไตรมาส 1 ปี 2566 และจะเดินหน้าขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศอย่างเต็มรูปแบบ ต้องยอมรับว่าปัจจุบัน Bluebik ยังเป็น Consulting Firm ขนาดเล็ก แต่ที่ผ่านมาก็ได้รับการยอมรับจากลูกค้าองค์กรใหญ่ๆ หลายราย เช่น การเงินการธนาคาร ค้าปลีก ฯลฯ คาดการณ์ว่าจะสามารถเติบโตอย่างต่อเนื่อง
สำหรับกระบวนการควบรวมกิจการของ Innoviz แบ่งการชำระค่าหุ้นออกเป็น 3 งวด งวดแรกเริ่มต้นในไตรมาส 1 ปี 2566 และจะเสร็จสมบูรณ์ในปี 2568 โดย Bluebik จะเข้าซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นเดิมทั้งหมดด้วยเงินสด
ถัดมาคือ งวดที่ 1 เข้าซื้อในสัดส่วน 55% โดยใช้เงินกู้ยืมจากสถาบัน ในราคาซื้อขายหุ้นที่เท่ากับกำไรสุทธิของ Innoviz ในปี 2565 คูณด้วย 12 เท่าของ P/E และคูณด้วยสัดส่วนหุ้น 55%
ตามด้วยงวดที่ 2 ในสัดส่วน 30% โดยราคาซื้อขายหุ้นจะเท่ากับกำไรสุทธิของ Innoviz ในปี 2566 คูณด้วย 16 เท่าของ P/E และคูณด้วยสัดส่วนหุ้น 30%
และงวดสุดท้ายในสัดส่วน15% ซึ่งราคาซื้อขายหุ้นจะเท่ากับกำไรสุทธิของ Innoviz ในปี 2566 คูณด้วย 16 เท่าของP/E และคูณด้วยสัดส่วนหุ้น 15% สำหรับการชำระค่าหุ้นในงวดที่ 2 และ 3 นั้น บริษัทฯ จะใช้กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน
โดยการขยายธุรกิจเป็นไปตามแผนการลงทุนที่วางไว้ เพื่อรองรับกระแสการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันและความต้องการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาสร้างความได้เปรียบในภาคธุรกิจ และตอกย้ำความเป็น Tech Company ที่มุ่งเน้นการเป็น Venture Builder ระดับโลก
ปัจจุบัน Bluebik ให้บริการหลักๆ ประกอบด้วย Management Consulting วางแผนด้านกลยุทธ์ เน้นเรื่องของ Digital Transformaiton ตามด้วย Design Consulting วางแผนออกแบบ Product & Service ถัดมา Strategic PMO หรือ Project Management และ Deep Tech การวิเคราะห์ Big Data และ AI เพื่อช่วยให้องค์กรมีโอกาสการเติบโต แต่การเติบโตนั้นต้องสร้าง Business Model ใหม่ๆ เพื่อรองรับสถานการณ์ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น ทั้งโรคระบาด ภาวะเศรษฐกิจ และเงินเฟ้อ ที่ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด