วันนี้ (30 พฤษภาคม) ในการประชุมวุฒิสภาครั้งที่ 2 สมัยวิสามัญ เป็นพิเศษ วาระพิจารณาญัตติขอให้ชะลอการตั้งคณะกรรมาธิการสามัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติฯ ของบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ รวมทั้งให้ความเห็นชอบกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จนกว่ามีคำตัดสินในคดีที่สมาชิกวุฒิสภา (สว.) จำนวนมาก ตกเป็นผู้ถูกร้องและผู้ร้องขณะนี้
ช่วงหนึ่ง พล.ต.ต. ฉัตรวรรษ แสงเพชร สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ลุกขึ้นอภิปรายชี้แจงประเด็นที่ เทวฤทธิ์ มณีฉาย สว. ระบุว่าตนเองลาออกจากการเป็นคณะกรรมาธิการตรวจสอบประวัติฯ ป.ป.ช. นั้น ขอชี้แจงว่าไม่ใช่เรื่องการยื่นญัตติ แต่เป็นเรื่องที่ตนเองสำนึกว่าได้ไปยื่นต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. เรื่องการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) จึงขอให้ทราบว่าเป็นคนละประเด็นกัน
“สว. เรามาจากกลุ่มอาชีพมากมาย เรารับการถูกกระทำมาโดยตลอด ตั้งแต่เรื่องการสืบสวน การร้องเรียน ไม่ว่าจะเป็นองค์กรใดก็แล้วแต่ ประเด็นที่ทำให้ผมและเพื่อนสมาชิกส่วนหนึ่งเป็นผู้ถูกกล่าวหาโดยคณะอนุกรรมการไต่สวนของ กกต. เริ่มมาจากการที่อธิบดี DSI รับคดีการได้มาซึ่ง สว. ซึ่งตามอำนาจหน้าที่สามารถสืบสวนได้ แต่ไม่มีอำนาจที่จะพิจารณาเป็นคดีพิเศษ ต้องส่งให้ กกต. เป็นผู้พิจารณาวินิจฉัย”
พล.ต.ต. ฉัตรวรรษ ระบุว่า ตามข้อเท็จจริง กกต. ก็พิจารณาหลายเรื่องเกี่ยวกับการได้มาซึ่ง สว. การกระทำของ DSI จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเรื่องนี้ได้ยื่นร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญและ ป.ป.ช. ให้พิจารณาเรื่องจริยธรรม เราก็ปล่อยให้เป็นคดีไป สื่อมวลชนจะว่าอย่างไร เราก็ถือว่าปกป้องสิทธิ์สมาชิกวุฒิสภาทุกท่านที่ได้มาอยู่ในสภาแห่งนี้
พล.ต.ต. ฉัตรวรรษ กล่าวว่า เมื่อ DSI ตั้งเป็นคดีพิเศษก็ไม่หยุดการดำเนินการ ยังดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ ซึ่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีกฎหมายให้อำนาจ ย่อมไม่สามารถที่จะทำได้ จนคณะไต่สวนที่ 26 ของ กกต. ก็นำเรื่องทั้งหมดเข้ามาพิจารณา แต่มี 3 คนมาจาก DSI ที่เชื่อได้ว่านำสำนวนการสอบสวนที่ดีเอสไอไม่สามารถดำเนินการต่อได้ ส่งให้ส่งคณะอนุฯ ไต่สวนทำต่อ ซึ่งเราก็ยินดีที่จะรับทราบข้อกล่าวหา แต่ข้อกล่าวหาดังกล่าวไม่สามารถให้รายละเอียดข้อเท็จจริงที่ถูกกล่าวหาได้ แม้กระทั่งผู้ตั้งคำถามหรือผู้ที่แจ้งการกระทำผิด ก็ยังไม่สามารถที่จะตอบคำถามได้
“แล้วจู่ๆ จะมาให้เพื่อน สว. ที่ถูกกล่าวหานั้นหยุดปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างไร ซึ่งเรื่องนี้ผมก็ได้ขอความเป็นธรรมต่อประธาน กกต. เรียบร้อยแล้ว” พล.ต.ต. ฉัตรวรรษ กล่าว
พล.ต.ต. ฉัตรวรรษ กล่าวอีกว่า วันนี้เพื่อนสมาชิกส่วนใหญ่มองว่าอาจจะเป็นการขัดกันของผลประโยชน์ของ เป็นเรื่องของจริยธรรม ไม่ควรที่จะมาตั้งคณะกรรมาธิการตรวจสอบประวัติฯ ขอยืนยันว่าเรามีขั้นตอนในการดำเนินการตามระเบียบของข้อบังคับสภา เราไม่สามารถดำเนินการนอกเหนือระเบียบที่ตั้งไว้ได้ จะต้องดำเนินการตามที่มีกรอบระยะเวลาตามที่กฎหมายหรือรัฐธรรมนูญกำหนดไว้อย่างชัดเจน การตรวจสอบประวัติ เราไม่ได้ตรวจสอบโดยคณะกรรมาธิการอย่างเดียว เราตรวจสอบไปยังองค์กรต่างๆ ในส่วนที่เกี่ยวข้องหลายส่วนมาก
“อย่ามาว่ามีจริยธรรมหรือไม่ ตราบใดที่ผมยังไม่เชื่อมั่นในองค์กรที่สอบสวนหรือไต่สวน ผมถือว่าผมยังเป็นผู้มีจริยธรรม รวมทั้งเพื่อสมาชิกที่ถูกกล่าวหาทุกท่าน จึงไม่อาจที่จะชะลอการดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการสามัญตามวาระวันที่ 30 พฤษภาคมนี้ได้” พล.ต.ต. ฉัตรวรรษ กล่าว
ขณะที่ พิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงศ์ สว. อภิปรายว่า ทุกคนในที่นี้สุจริต เพราะตามหลักสุจริตที่อยู่ในมาตรา 5 ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งประกาศใช้ในปี 2468 ที่ระบุว่าในการใช้สิทธิ์แห่งตนก็ดี ในการชำระหนี้ก็ดี บุคคลทุกคนต้องกระทำโดยสุจริต ซึ่ง สว. ทุกคนกระทำโดยสุจริต ไม่มีใครใช้หลักการแห่งผลประโยชน์อะไรทั้งสิ้น ได้การรับรองจาก กกต. อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และใช้อำนาจในกรอบกฎหมายทุกประการ และมาตรา 6 ในกฎหมายเดียวกันนั้นระบุว่า ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลทุกคนกระทำการโดยสุจริต ที่ชัดเจนว่าเพราะเป็นกฎหมายสากล
พิสิษฐ์กล่าวว่า การจะสื่อสารอะไรต่อประชาชนสื่อสารให้เป็นข้อเท็จจริง อย่าเป็นข้อคิดเห็นหรือความเห็นที่ไม่รู้ ซึ่งการที่จะเริ่มต้นหลักกระบวนการยุติธรรมนั้นเริ่มต้นต่อเมื่อศาลประทับรับฟ้อง ถ้าศาลยังไม่ประทับรับฟ้องก็ถือว่ายังไม่เริ่ม ยังเป็นผู้ถูกกล่าวหาอยู่ โจทก์จำเลยยังไม่เกิดขึ้น ซึ่งพวกเราในที่นี้ก็ไม่ใช่โจทก์หรือจำเลย ฉะนั้น อยากให้สภาที่นี่สูงขึ้น ให้มีหลักคิดที่เป็นบวกมากขึ้น ไม่ใช่คิดลบ เราเป็นสภาสูงแต่ไปคิดแบบต่ำๆ มองว่าถ้าเราไปเลือกเขา แล้วเขาต้องมาช่วยเรา มันไม่สมเหตุสมผล และที่ตนลาออกจากกรรมาธิการสอบประวัติฯนั้น เพราะตนไม่ต้องการที่จะไปพบกับผู้ที่ได้รับการคัดสรร เพราะวันนี้เรามาทำหน้าที่ เราไม่ได้พบกับผู้คัดสรร
“เราทำหน้าที่ตรวจสอบจากเอกสารที่คณะกรรมการตรวจสอบส่งให้เราพิจารณา และหากท่านบอกว่าหลักการขัดกันแห่งผลประโยชน์สำคัญนัก ผมขอถามว่าท่านได้ไปหาข้อมูลหรือไม่ว่าคณะกรรมการสรรหามีใครบ้าง มีประธานศาลฎีกา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ ผมคิดว่าใช้หลักเดียวกันกับตนคือหลักสุจริต เพราะท่านถูก ป.ป.ช. ชี้ว่าท่านผิดจริยธรรมร้ายแรง ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ แล้วท่านยังเป็นคณะกรรมการคัดสรรด้วย และผมเชื่อมั่นในตัวท่านว่าท่านทำโดยสุจริต ใช้อำนาจหน้าที่ชอบด้วยกฎหมาย” พิสิษฐ์กล่าว
พิสิษฐ์ตั้งคำถามถึงหลักการขัดกันแห่งผลประโยชน์ แต่ผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ ยังใช้สิทธิ์นั้น ผิดตรงไหน ทำหน้าที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายตรงไหนประการใด และ ป.ป.ช. สุ่มเสี่ยงที่องค์ประชุมจะไม่ครบ เพราะมีบางท่านอายุจะครบ 70 ปี และยังมีคดีความมากมายที่ ป.ป.ช. จะต้องดำเนินการต่อไป ส่วนตัวจึงเชื่อว่าการที่สมาชิกวุฒิสภาแห่งนี้ลงมติไม่เห็นด้วยกับการชะลอเรื่องดังกล่าว ย่อมเป็นสิ่งที่ชอบทำด้วยกฎหมายทุกประการ
“ผมอยากให้สภาแห่งนี้เป็นสภาที่สูงจริงๆ มีความคิดที่เป็นบวกจริงๆ มองว่าทุกคนมีความสุจริต ขอให้ทุกคนโหวตไม่เห็นชอบกับ การชะลอตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบองค์กรอิสระ เพราะผมเชื่อว่าผมสุจริต และสมาชิกทุกท่านที่นั่งอยู่ที่นี่ก็สุจริตทุกท่าน ไม่มีใครใช้ประโยชน์จากการลงคะแนนตรงนี้เพื่อที่จะเอาประโยชน์ส่วนตน” พิสิษฐ์กล่าว
ความเห็นส่วนบุคคล ไม่ถือเป็นกฎหมายต้องทำ
ด้าน พ.ต.อ. กอบ อัจนากิตติ สว. อภิปรายแสดงความเห็นว่า สมาชิกฝ่ายนิติบัญญัติต้องยึดการทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ ไม่มีกฎหมายก็ไม่มีอำนาจ แต่ความเหมาะสมล้วนเป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล ไม่ใช่กฎหมาย ดังนั้น ผู้ปฏิบัติหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย ไม่มีประเด็นที่จะต้องมาชะลอ หรือหยุดปฏิบัติหน้าที่แต่อย่างใด
“การจะกล่าวอ้างว่า สว. ส่วนหนึ่งถูกสงสัย ความปรากฏว่าอาจกระทำการฝ่าฝืน เป็นเพียงข้อสงสัย ไม่ใช่กระบวนการยุติธรรม อยู่ในขั้นก่อนการดำเนินคดี สิ่งที่ สว. จะกระทำต่อไปนี้เป็นการปฏิบัติตามหน้าที่ ไม่มีกฎหมายใดห้ามหรือสั่งหยุดการปฏิบัติหน้าที่” พ.ต.อ. กอบ กล่าว
พ.ต.อ. กอบ กล่าวขอบคุณสมาชิกทั้งหลายที่แสดงความเห็น และความเป็นห่วง ว่า อาจจะทำให้ สว. ปฏิบัติหน้าที่ไปโดยมิชอบ แต่การตรวจสอบที่มีอยู่ขณะนี้ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นเรื่องที่องค์กรฝ่ายบริหารก้าวล้ำมาในเขตของนิติบัญญัติ
“ท่านเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ หากปล่อยให้ฝ่ายบริหารก้าวล้ำเข้ามา ก็แปลว่าท่านไม่มีความละอายในการปฏิบัติหน้าที่ ความเห็นหรือสื่อวิพากษ์ก็ดี ไม่ใช่กฎหมาย จึงขอยืนยันว่าสิ่งที่ท่านกระทำเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และสุจริต ไม่มีกฎหมาย ไม่มีอำนาจ” พ.ต.อ. กอบ กล่าว