จากกระแสเหรียญคริปโตเคอร์เรนซีแข่งกันทำราคาสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หรือทำ All Time High ใหม่ แบบไม่มีใครยอมใครในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยมีราคาพุ่งสูงถึงกว่า 10,000% จากช่วงต้นปี นี่จึงเป็นตัวปลุกกระแสให้นักลงทุนเข้ามาในโลกคริปโตฯ กันเป็นจำนวนมาก
หลายคนไม่เพียงแต่เข้ามาเทรดหรือซื้อขายเหรียญเพื่อเก็งกำไรในระยะสั้นเท่านั้น แต่ยังศึกษาเพิ่มเติมไปถึงเรื่องบล็อกเชนเพื่อลงทุนในระยะยาวอีกด้วย ซึ่งบล็อกเชนเป็นระบบ Ecosystem ที่เป็นการส่งเสริมให้มีการนำเหรียญไปใช้งานมากขึ้นจนเป็นที่ต้องการ เกิดมูลค่า และทำให้ราคาเติบโตแบบยั่งยืน
หากบล็อกเชนไหนมีเจ้าของที่น่าเชื่อถือ ดูมีความปลอดภัย มีประสิทธิภาพสูง หรือมีแพลตฟอร์มให้เลือกใช้งานมากกว่าและหลากหลายกว่า ก็ยิ่งเป็นสิ่งจูงใจให้นักลงทุนแห่โอนเงินเข้าไปในบล็อกเชนนั้นมากกว่า
ดังนั้นการแข่งขันจึงเกิดขึ้นอย่างปฏิเสธไม่ได้ในโลกบล็อกเชน โดยเจ้าของบล็อกเชนต่างก็ต้องเร่งหาวิธีพัฒนาบล็อกเชนของตัวเองให้ดีขึ้น หรือมีจุดเด่นแซงคู่แข่ง เพื่อดึงดูดให้นักลงทุนนำเงินเข้ามาเยอะๆ จนกลายเป็นที่นิยมและติดตลาดในที่สุด
ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับเลเยอร์หนึ่งและเลเยอร์สองในบล็อกเชนกันก่อนนะครับ
เลเยอร์หนึ่งและเลเยอร์สองในบล็อกเชนแตกต่างกันอย่างไร?
เลเยอร์สองสร้างขึ้นมาเสมือนเป็นส่วนต่อขยายจากเลเยอร์หนึ่ง เพื่อให้บล็อกเชนทำงานได้หลากหลายขึ้น โดยเลเยอร์หนึ่งจะเน้นให้นักพัฒนา (Developer) เข้ามาสร้างแพลตฟอร์ม หรือ DApp (Decentralized Application) กันเยอะๆ ก่อน ซึ่งแพลตฟอร์มส่วนใหญ่จะมีฟังก์ชันให้ใช้งานแบบทั่วๆ ไป เช่น แลกเปลี่ยนเหรียญคริปโตฯ หรือนำเหรียญไปล็อกในระบบเพื่อรับดอกเบี้ยเท่านั้น
ส่วนเลเยอร์สองจะเน้นไปที่การแก้ปัญหาหรือพัฒนาให้แพลตฟอร์มใช้งานได้ดีขึ้น เช่น การลดค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรม (Gas Fee) อย่างใน ETH Chain เลเยอร์สองมีค่าธรรมเนียมถูกลงกว่าเลเยอร์หนึ่งถึง 10 เท่าเลยทีเดียว
นอกจากนี้ในเลเยอร์สองก็ยังมีการพัฒนาแพลตฟอร์มให้มีเหรียญที่สามารถใช้งานโอนข้ามไปมาให้ใช้งานกับบล็อกเชนอื่นๆ ได้อีกด้วย อย่างเช่น เหรียญ MIM ของแพลตฟอร์ม Abracadabra เป็นต้น
บล็อกเชนไหนได้รับความนิยม?
แม้ว่าปัจจุบันมีบล็อกเชนถึงสองเลเยอร์แล้วก็ตาม แต่เม็ดเงินส่วนใหญ่จะยังไหลเวียนอยู่ในแพลตฟอร์มเลเยอร์หนึ่งเป็นหลัก โดยบล็อกเชนเลเยอร์หนึ่งที่ได้รับการยอมรับจนเป็นที่นิยมจากนักลงทุนทั่วโลก ก็คงหนีไม่พ้น 4 บล็อกเชนมาแรงอย่าง ETH, SOL, LUNA และ AVAX นั่นเอง
Ethereum (ETH) Chain เป็นบล็อกเชนเก่าแก่ที่จุดกระแส DeFi (Decentralized Finance) จนเกิดแพลตฟอร์มชื่อดังแถวหน้าของโลก ได้แก่ Uniswap, Sushi และ MakerDAO แม้ว่า ETH Chain เลเยอร์หนึ่งจะเจอปัญหา Gas Fee ที่แพงกว่าเชนอื่นกว่า 100 เท่า แต่ยังเป็นเชนที่มีแพลตฟอร์มทำงานอยู่เกือบ 300 แพลตฟอร์ม อาจจะเพราะเชนนี้ดูมีความปลอดภัยสูงกว่าเชนอื่นๆ และ Vitalik (ผู้ก่อตั้งเชน) ก็ออกมาอัปเดตข่าวสารการพัฒนาระบบอยู่อย่างต่อเนื่อง นี่จึงเป็นเหตุผลที่นักพัฒนายังคงนิยมสร้างแพลตฟอร์มกันบนเชนนี้เป็นจำนวนมาก และนักลงทุนยังคงใช้งานแพลตฟอร์มเหล่านี้กันอย่างต่อเนื่อง
เมื่อเทียบกันเชนอื่น ๆ จะเห็นว่า ETH Chain มีเงินหมุนเวียนมากที่สุด โดยสังเกตได้จาก Total Value Locked (TVL) ซึ่งมีค่าสูงกว่า 160 ล้านดอลลาร์ และมีรายได้เฉลี่ยแต่ละวัน (Daily Revenue) สูงกว่า 10 เท่าตัว
แม้ว่าตอนนี้กระแส Metaverse และ NFTs จะมาแรงแซงหน้า DeFi ไปแล้ว แต่ ETH Chain ก็ยังรักษามาตรฐานความนิยมเอาไว้ได้ การันตีจากแพลตฟอร์มกลุ่ม Metaverse ชื่อดังอย่าง MANA และ SAND รวมถึงแพลตฟอร์มซื้อขาย NFTs ตัวเต็งระดับโลกอย่าง OpenSea ก็ทำงานอยู่บนเชนนี้เช่นกัน
สำหรับ Solana (SOL) Chain ถือเป็นบล็อกเชนเลเยอร์หนึ่งที่เติบโตอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีจุดเด่นจาก Gas Fee ที่ถูกมากๆ เมื่อเทียบบกันเชนอื่น อีกทั้งเวลาการทำธุรกรรมก็สามารถทำได้อย่างรวดเร็วภายใน 400 มิลลิวินาทีเท่านั้น ในขณะที่ ETH Chain ทำงานนานถึงประมาณ 4 นาที แม้ว่า SOL Chain เพิ่งเกิดขึ้นมาไม่นาน แต่สิ่งที่เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเชนนี้คือ การได้รับการสนับสนุนจากกองทุนยักษ์ใหญ่มากมายรวมถึงเจ้าของเว็บเทรดระดับโลกอย่าง FTX ด้วย ปัจจุบัน SOL Chain มีเงินทุนสนับสนุนเพื่อกระตุ้นให้นักพัฒนาเข้ามาเร่งกันสร้างแพลตฟอร์มจำนวนมาก โดยแพลตฟอร์มเหล่านี้มีแนวโน้มทำให้เชนนี้เติบโตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต
อีกบล็อกเชนที่อยู่ในกระแส จากราคาเหรียญประจำบล็อกเชนพุ่งกว่า 13,000% นั่นคือ Terra (LUNA) Chain เป็นเชนที่ประสบความสำเร็จในด้านการใช้วิธีการสร้าง Stablecoin (UST) มาเป็นกลไกในการรักษาเสถียรภาพด้านราคา ส่วนในด้านความน่าเชื่อถือ Terra Chian ได้รับการสนับสนุนจากทางการเกาหลีใต้ แม้ว่าปัจจุบันยังมีจำนวนแพลตฟอร์มค่อนข้างน้อยกว่าเชนอื่น แต่ก็มีนักลงทุนเข้าไปใช้งานอย่างต่อเนื่อง จนมี TVL สูงติดอันดับต้นๆ ของโลก
สำหรับบล็อกเชนมาแรงอีกตัวที่น่าจับตามองภายใต้การสนับสนุนจากนักลงทุนชื่อดังอย่าง Three Arrows Capital นั่นคือ Avalanche (AVAX) Chain เป็นเชนที่มีจำนวนแพลตฟอร์มให้เลือกใช้งานกว่า 50 แพลตฟอร์ม และมีค่า Gas Fee ค่อนข้างถูกมาก เป็นที่น่าสังเกตว่าเชนนี้เป็นเชนที่มีรายได้เฉลี่ยในแต่ละวันสูงรองจาก ETH Chain เลยทีเดียว นอกจากนี้การเพิ่มขึ้นของ TVL มากกว่า 15% ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนตุลาคมก็พอจะบอกได้ว่า ปัจจุบัน AVAX Chain กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องและได้รับความนิยมไม่แพ้เชนอื่นๆ เลย
การแข่งขันในอนาคตจะเป็นอย่างไร?
จากภาพรวมจะเห็นว่า แม้บล็อกเชนเลเยอร์หนึ่งเกิดใหม่หลายๆ เจ้าพยายามแข่งกันแก้ไขปัญหา Gas Fee ที่แสนแพงจากเชนเก่าแก่อย่าง ETH Chain โดยสร้างจุดเด่นทางด้าน Performance เช่น เพิ่มความเร็วในการทำธุรกรรมหรือสร้างระบบใหม่ที่แตกต่างจากแบบเดิมๆ แต่เม็ดเงินจากนักลงทุนในโลกบล็อกเชนจำนวนมหาศาลก็ยังกองอยู่ที่ ETH Chain เยอะที่สุดอยู่ดี ซึ่งพวกเราก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า ETH Chain จะสามารถพัฒนาระบบให้ดีขึ้นได้อย่างไร จะรักษาความนิยมนี้ได้ตลอดไปหรือไม่ หรือจะมีบล็อกเชนไหนบ้างที่จะได้รับความนิยมแซงหน้าเจ้าเก่าเก๋าประสบการณ์อย่าง ETH ไปได้ในอนาคต
หมายเหตุ:
บริษัท คริปโตมายด์ แอดไวเซอรี่ จำกัด โดย [ทีมงานแอดไวเซอรี่] ข้อมูลนี้จัดทำโดยอาศัยแหล่งข้อมูลสาธารณะที่เชื่อว่าน่าเชื่อถือ ซึ่งปรากฏขณะจัดทำที่อาจเปลี่ยนแปลงได้ในแต่ละขณะเวลา ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลและพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน
คำเตือนความเสี่ยง: การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลและพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน
ภาพประกอบ: นิสากร ฤทธาภัย
อ้างอิง:
- https://www.tokenterminal.com/terminal/metrics/tvl
- https://members.delphidigital.io/reports/delphi-daily-top-performing-layer-ones-market-metrics-and-axies-sharp-growth/
- https://defillama.com/
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
- Twitter: twitter.com/standard_wealth
- Instagram: instagram.com/thestandardwealth
- Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP