* หมายเหตุ: บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของภาพยนตร์เรื่อง Black Panther: Wakanda Forever
ในบรรดาภาพยนตร์และซีรีส์จากจักรวาล Marvel Cinematic Universe เฟสที่ 4 Black Panther: Wakanda Forever น่าจะเป็นภาพยนตร์ที่ผู้ชมทั่วโลกตั้งตารอมากที่สุดก็คงไม่เกินจริงนัก เพราะความสำคัญของภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ภาพยนตร์ปิดม่านเฟสที่ 4 เท่านั้น แต่ยังเป็นภาพยนตร์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงนักแสดงผู้ล่วงลับอย่าง Chadwick Boseman ผู้รับบทเป็น Black Panther หรือ T’Challa ที่เสียชีวิตลงอย่างกะทันหันเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2020 รวมไปถึงคำถามมากมายเกี่ยวกับทิศทางต่อไปของตัวละคร Black Panther และเหล่าตัวละครจาก Wakanda ว่า Marvel Studios จะหาทางออกให้กับเรื่องราวของพวกเขาอย่างไร
ซึ่งดูเหมือนว่าผู้กำกับ Ryan Coogler และมือเขียนบท Joe Robert Cole จะไม่ได้กลับมาตอบคำถามต่างๆ ของผู้ชมเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่พวกเขายังสอดแทรกมวลความรู้สึกมากมายที่เราทุกคนมี ‘ร่วมกัน’ เอาไว้ในภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างเนืองแน่นอีกด้วย
บทความที่เกี่ยวข้อง:
- Black Panther: Wakanda Forever กับ 4 เกร็ดน่าสนใจของภาพยนตร์ปิดม่าน MCU เฟสที่ 4
- Rihanna พักบทบาทแม่ค้า กลับมาร้องเพลงอีกครั้งกับ Lift Me Up ประกอบ Black Panther: Wakanda Forever
จุดเด่นข้อแรกที่ผู้เขียนคิดว่าผู้กำกับ Ryan Coogler ยังคงสร้างสรรค์ออกมาได้น่าสนใจไม่แพ้ภาคแรก คือตัวร้ายหลักของเรื่องอย่าง Namor (Tenoch Huerta) ผู้นำแห่งอาณาจักรใต้ทะเล Talocan ที่ผู้กำกับพาผู้ชมเข้าไปสำรวจภูมิหลังและปมปัญหาของตัวละครอย่างครบถ้วนรอบด้าน เพื่อทำให้ ‘เป้าหมาย’ และ ‘เหตุผล’ ในการกระทำของตัวละครมีความหนักแน่นมากขึ้น และทำให้ผู้ชมเข้าใจความคิดของ Namor มากขึ้นไปพร้อมกัน (แม้ว่าสิ่งที่เขาทำจะไม่ใช่ทางออกที่ถูกต้องที่สุดก็ตาม)
รวมไปถึงการรังสรรค์อาณาจักร Talocan ที่ผู้กำกับและทีมสร้างได้รับแรงบันดาลใจมาจากวัฒนธรรมโบราณที่มีอยู่จริงอย่างวัฒนธรรมมายาและแอซเท็ก รวมถึงการหยิบนำประเด็นของการล่าอาณานิคมเข้ามาเสริม ก็ยิ่งเสริมให้อาณาจักรในจินตนาการแห่งนี้ ‘มีชีวิต’ และมีความสมจริงสมจังมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับที่ละเมียดละไมในทุกรายละเอียด เพลงประกอบที่นำเครื่องดนตรีพื้นบ้านเข้ามาเสริม และการใส่ฉากเล็กๆ น้อยๆ ที่เผยให้เราเห็นวิถีชีวิตของชาว Talocan สิ่งเหล่านี้ถือเป็นส่วนประกอบสำคัญที่ช่วยเสริมให้อาณาจักร Talocan เป็นอีกหนึ่งสถานที่ของจักรวาล MCU ที่เปี่ยมไปด้วยมนตร์เสน่ห์และชวนให้เราเข้าไปสำรวจเรื่องราวของพวกเขา
นอกจากการออกแบบคาแรกเตอร์ตัวร้ายหลักที่มีมิติอันน่าจดจำแล้ว Black Panther: Wakanda Forever ยังมาพร้อมกับเนื้อเรื่องที่เข้มข้นจริงจังและอัดแน่นไปด้วยมวลอารมณ์ของตัวละคร
โดยสิ่งที่ผู้เขียนชื่นชอบมากๆ คือการที่ผู้กำกับตัดสินใจไม่พยายามนำเสนอเรื่องราวของภาพยนตร์ให้เชื่อมโยงกับเรื่องราวของจักรวาล MCU ที่กำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบันมากนัก (แม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะเป็นภาพยนตร์ปิดเฟสที่ 4 ก็ตาม) เพื่อพาผู้ชมเข้าไปสำรวจเรื่องราวที่ Wakanda กำลังเผชิญอย่างครบถ้วนรอบด้านมากที่สุด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเด็นการเมืองของ Wakanda ที่ Ryan Coogler และ Joe Robert Cole สามารถหยิบประเด็นที่ถูกวางเอาไว้ในตอนจบของ Black Panther ภาคแรก กับประเด็นหลักของภาคนี้อย่างการเสียชีวิตของ T’Challa มาต่อยอดให้เป็นเรื่องราวที่ซีเรียสจริงจัง เช่น การตัดสินใจเปิดประเทศของ T’Challa ในภาคแรก ทำให้โลกภายนอกมีปฏิกิริยาอย่างไร แล้วหลังจากเหตุการณ์เสียชีวิตของ T’Challa ทำให้ Wakanda ต้องเผชิญกับปัญหาทางการเมืองอย่างไรบ้าง ฯลฯ
รวมไปถึงการสอดแทรกประเด็น ‘ความเชื่อ’ ในวัฒนธรรมดั้งเดิม และความคิดที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยของผู้คนก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่เสริมให้เรื่องราวของภาพยนตร์มีความร่วมสมัยและเชื่อมโยงกับผู้ชมได้ไม่ยาก
ดังนั้นแล้ว การหยิบประเด็นการเมืองของ Wakanda รวมถึงประเด็นความเชื่อที่แตกต่างกันระหว่างคนสองรุ่นมาใช้เป็นหนึ่งในปมปัญหาหลักของเรื่อง ทำให้ Black Panther: Wakanda Forever เป็นภาพยนตร์ที่โดดเด่นมากๆ ในแง่ของเนื้อเรื่องที่ซีเรียสจริงจัง และมีรสชาติที่แตกต่างไปจากภาพยนตร์และซีรีส์ MCU เฟสที่ 4 หลายๆ เรื่องที่ผ่านมา
อีกหนึ่งหัวใจสำคัญที่ขับเน้นให้ Black Panther: Wakanda Forever อัดแน่นไปด้วยมวลความรู้สึก คือการที่ผู้กำกับพาผู้ชมเข้าไปสำรวจความรู้สึกของตัวละครภายในเรื่องที่ต้องเผชิญกับความสูญเสีย T’Challa ได้อย่างลึกถึงแก่น
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง Black Panther: Wakanda Forever คือภาพยนตร์ที่ทำหน้าที่เป็น ‘สื่อกลาง’ ให้เหล่านักแสดงนำ ทีมงานเบื้องหลัง และผู้ชมทุกคน ได้มาร่วมกันแบ่งปันความรู้สึกที่มีต่อนักแสดงผู้ล่วงลับอย่าง Chadwick Boseman ในโรงภาพยนตร์ไปพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็นความโศกเศร้า เจ็บปวด ความรัก ความผูกพัน และแรงบันดาลใจที่ Chadwick Boseman ได้สร้างไว้ผ่านบทบาทของ T’Challa
พร้อมกันนั้น ภาพยนตร์ยังทำหน้าที่พาเราทุกคนมาร่วมกัน ‘บอกลา’ และ ‘ข้ามผ่าน’ ความโศกเศร้าครั้งนี้ไปพร้อมๆ กับนักแสดงและทีมงานทุกคนได้อย่างงดงามและทรงพลังเกินคำบรรยายจริงๆ
ในภาพรวมแล้ว Black Panther: Wakanda Forever คือภาพยนตร์จากจักรวาล MCU ที่ครบเครื่องทั้งในแง่ของเนื้อเรื่องที่มีประเด็นการเมืองและความเชื่อเข้ามาเสริมให้ภาพยนตร์มีรสชาติที่แตกต่างไปจากภาพยนตร์และซีรีส์ MCU เฟสที่ 4 หลายๆ เรื่อง รวมถึงการออกแบบคาแรกเตอร์ตัวร้ายหลักอย่าง Namor ที่มีมิติอันน่าจดจำ อีกทั้งยังเป็นภาพยนตร์ที่สร้างมาเพื่อเป็นเกียรติให้กับ Chadwick Boseman นักแสดงผู้ล่วงลับได้อย่างงดงาม
ซึ่งเราเชื่อเหลือเกินว่าเรื่องราวและแรงบันดาลใจที่ Chadwick Boseman ได้สร้างเอาไว้ผ่านบทบาทของ T’Challa จะประทับอยู่ในความทรงจำของผู้ชมทั่วโลกไปอีกนานแสนนาน เช่นเดียวที่ตัวละคร T’Challa ได้เคยกล่าวไว้ว่า
“ในวัฒนธรรมของผม ความตายไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นเหมือนจุดเริ่มเดินใหม่”
Black Panther: Wakanda Forever เข้าฉายอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ ในโรงภาพยนตร์
รับชมตัวอย่างได้ที่นี่