ในโลกของอุตสาหกรรมการผลิตสมัยใหม่ ชื่อของ Black Lake คือสัญลักษณ์ของการปฏิวัติที่เกิดขึ้นจากฐานราก นี่คือสตาร์ทอัพ AI สัญชาติจีนอายุเพียงสิบปี ที่มีมูลค่าสูงถึง 15,000 ล้านบาท และได้รับความไว้วางใจจากโรงงานกว่า 32,000 แห่งทั่วจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในฐานะ ‘ระบบประสาทดิจิทัล’ ที่ขับเคลื่อนสายการผลิต
จาก Big Idea สู่ความล้มเหลวมูลค่าหลายล้าน
เรื่องราวของ Black Lake เริ่มต้นในปี 2015 ท่ามกลางแคมเปญดึงดูดผู้มีความสามารถกลับประเทศของรัฐบาลจีน Yuxiang Zhou และทีมผู้ก่อตั้ง พกพาความฝันระดับซิลิคอนวัลเลย์กลับมายังปักกิ่ง
พวกเขาตั้งเป้าหมายที่จะสร้าง ‘Palantir for China’ แพลตฟอร์ม Big Data อัจฉริยะที่จะปลดล็อกข้อมูลมหาศาลให้กับองค์กรขนาดใหญ่ แต่ความฝันนั้นต้องพังทลายเมื่อได้พบกับความจริงของภาคการผลิตจีน โรงงานนับล้านแห่งในเวลานั้นยังคงขับเคลื่อนด้วยกระดาษและไฟล์ Excel ไม่มีโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลใดๆ ที่พร้อมให้ AI ทำงาน
ความล้มเหลวครั้งนี้ไม่ใช่เพราะเทคโนโลยีไม่ดี แต่เพราะเทคโนโลยีของพวกเขาล้ำหน้าเกินกว่าความเป็นจริงไปหลายก้าวต่างหาก
การปฏิวัติเริ่มต้นที่ ‘หน้างาน’ ไม่ใช่ห้องแล็บ
ก่อนจะยอมแพ้ พวกเขาตัดสินใจละทิ้งแนวคิด Big Data และใช้เวลา 2 เดือนสุดท้ายในจีนเพื่อค้นหา ‘ปัญหาที่แท้จริง’ ที่ขัดขวางการเติบโตของมหาอำนาจการผลิตนี้
ในอดีต โรงงานจีนรับจ้างผลิตของเหมือนกันทีละมากๆ (Mass Production) แต่ปัจจุบัน ตลาดออนไลน์ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดต้องการ ‘การผลิตแบบยืดหยุ่นสูง’ (Agile Manufacturing) คือผลิตของหลากหลายแบบในปริมาณน้อยลง
แม้การผลิตแบบใหม่จะให้กำไรสูงขึ้น แต่โรงงานกลับต้องหยุดเครื่องจักรนานถึง 6 ชั่วโมงเพื่อเปลี่ยนแม่พิมพ์ ไม่ใช่เพราะเครื่องจักรช้า แต่เพราะกระบวนการทั้งหมดขึ้นอยู่กับการโทรศัพท์หรือเดินตามตัวคนงาน ความล่าช้าในการสื่อสารที่ดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กนี้เอง คือคอขวดมหาศาลที่ฉุดรั้งประสิทธิภาพของอุตสาหกรรมจีนทั้งระบบ
จุดกำเนิด ‘ระบบประสาทดิจิทัล’ สำหรับสายการผลิต
พวกเขาสังเกตว่าคนงานหนุ่มสาวในโรงงานต่างเป็น Tech-Savvy และยอมเก็บเงินเพื่อซื้อสมาร์ทโฟนที่ดีที่สุด จึงเกิดแนวคิดในการสร้างแอปพลิเคชันบนคลาวด์ โดยใช้โทรศัพท์ของคนงานเป็นเครื่องมือสื่อสารแทนที่สมองมนุษย์
แทนที่จะต้องโทรตาม แอปจะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงทุกแผนกเข้าด้วยกัน เมื่องานหนึ่งเสร็จ ระบบจะส่งสัญญาณแจ้งเตือนไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องทันที มันเปลี่ยนการทำงานที่อาศัยคำสั่งและความจำของคน ไปสู่การทำงานที่ขับเคลื่อนด้วย ‘ข้อมูล’ แบบเรียลไทม์
เมื่อนักลงทุนตระหนักถึงกุญแจสำคัญของอุตสาหกรรมโฉมใหม่
จากบทเรียนราคาแพงครั้งแรก พวกเขาตัดสินใจไม่ระดมทุน แต่ใช้วิธีการพัฒนาแบบ Agile ที่สุด ผู้ก่อตั้ง 3 คนนำต้นแบบไปทดสอบที่โรงงานในตอนกลางวัน และกลับมาเขียนโค้ดแก้ไขในตอนกลางคืน
ในปี 2018 เมื่อลูกค้า 25 รายแรกยอมจ่ายเงิน เรื่องราวได้ไปถึงหูของ Bob Xu นักลงทุนคนแรกที่พวกเขาเคยคืนเงิน 80% ให้ ครั้งนี้ Bob Xu ไม่เพียงคืนเงินก้อนนั้น แต่ยังเพิ่มทุนมหาศาลให้อีกเกือบ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพราะตระหนักว่า Black Lake ได้ค้นพบ ได้ค้นพบ ‘กุญแจสำคัญ’ ที่จะปลดล็อกการปฏิวัติอุตสาหกรรมจีนแล้ว
การที่นักลงทุนระดับโลกอย่าง Bertelsmann, GGV, GSR และ Temasek ร่วมวงในรอบต่อๆ มา คือการติดปีกที่ส่งให้ Black Lake ทะยานสู่มูลค่า 1.5 หมื่นล้านบาท และเป็นบทพิสูจน์ว่านี่ไม่ใช่แค่แอป แต่เป็นโครงสร้างพื้นฐานใหม่ของภาคการผลิตสมัยใหม่
โอกาสและความร่วมมือในประเทศไทย
ผู้ก่อตั้ง Black Lake มองว่าประเทศไทยมีศักยภาพสูงยิ่ง เพราะไทยมีวัฒนธรรมอุตสาหกรรมที่ยาวนานและผู้บริหารที่มีความเป็นผู้ใหญ่ซึ่งกำลังมองหาการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลและ AI อย่างจริงจัง
ในขณะที่โรงงานไทยบางแห่งมีระบบอัตโนมัติที่ทันสมัยกว่าจีน แต่ก็อาจกำลังเผชิญ ‘คอขวด’ ที่มองไม่เห็นเช่นเดียวกับที่จีนเคยเผชิญ นี่คือโอกาสที่ไทยจะก้าวกระโดด โดยใช้โมเดลการปฏิวัติจากฐานรากที่ Black Lake ได้พิสูจน์แล้ว
Black Lake คือบทเรียนสำคัญของคนทำธุรกิจยุคใหม่ว่า อย่าเริ่มจากเทคโนโลยี แต่จงเริ่มจากปัญหาที่แท้จริง
หากอยากรู้ว่าโรงงานต้องการอะไร จงไปอยู่กับสายการผลิตจริง ฟังให้มากพอ และสร้างสิ่งที่ตอบโจทย์เขาจริง เพราะ AI จะมีความหมายก็ต่อเมื่อมันแก้ปัญหาบางอย่างได้จริง และไม่ได้เริ่มต้นจากความล้ำ แต่จากความเข้าใจ


