Black Adam นับว่าเป็นภาพยนตร์ฮีโร่จากฝั่ง DC ที่ใครหลายคนต่างเฝ้ารอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการได้ Dwayne Johnson หรือ The Rock นักแสดงขาลุยมาสวมบทเป็นแอนตี้ฮีโร่คนใหม่อย่าง Black Adam ซึ่งหากเราลองย้อนกลับไปในผลงานก่อนหน้าของเขาหลายๆ เรื่อง เช่น Jumanji: Welcome to the Jungle (2017), Fast & Furious: Hobbs & Shaw (2019) หรือ Jungle Cruise (2021) ต่างก็เป็นผลงานที่ได้รับคำชื่นชมจากผู้ชมในแง่ของความสนุกสนาน ดังนั้นแล้ว Black Adam จึงเป็นภาพยนตร์จากฝั่ง DC ที่น่าจับตามองตั้งแต่ภาพยนตร์ยังไม่เข้าฉาย
ภาพยนตร์ว่าด้วยเรื่องราวของนคร Kahndaq ดินแดนอันเก่าแก่ที่มีตำนานเล่าขานถึงนักรบนาม Teth Adam ทาสผู้ได้รับพลังจากเทพเจ้าโบราณเพื่อปลดปล่อยผู้คนจากการกดขี่ของผู้ปกครอง เมื่อวันเวลาผ่านไป Kahndaq ในปัจจุบันถูกกลุ่มที่ชื่อว่า Intergang เข้ามาหาผลประโยชน์จนทำให้ผู้คนเดือดร้อน กระทั่งวันหนึ่ง Teth Adam ก็ได้ตื่นขึ้นมาจากการหลับใหลอีกครั้ง การต่อสู้เพื่อปลดปล่อยผู้คนให้เป็นอิสระ และการเผชิญหน้ากับทีมฮีโร่อย่าง Justice Society of America จึงเริ่มต้นขึ้น
หากจะให้กล่าวความรู้สึกหลังจากได้ชมภาพยนตร์แบบสั้นๆ เราคิดว่า Black Adam คือภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ที่ ‘บันเทิง’ ทีเดียว กล่าวคือผู้กำกับ Jaume Collet-Serra และทีมสร้างจะทำการบ้านมาเป็นอย่างดีว่าผู้ชม ‘อยากเห็นอะไร’ ในภาพยนตร์เรื่องนี้ เริ่มต้นด้วยฉากแอ็กชันน้อยใหญ่ที่ถูกใส่เข้ามาอย่างเนืองแน่น ไล่เรียงตั้งแต่ฉากเปิดตัวของ Black Adam ที่โชว์ให้เราเห็นถึงพลังอันเหลือล้นและความโหดเหี้ยมไร้ปราณีของตัวละคร หรือจะเป็นการเผชิญหน้ากับทีม Justice Society ที่เปิดโอกาสให้สมาชิกแต่ละคนได้โชว์ของกันแบบไม่มีกั๊ก (ซึ่งส่วนตัวผู้เขียนค่อนข้างชอบฉากแอ็กชันดังกล่าวเป็นพิเศษ) ไปจนถึงฉากแอ็กชันเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างทางที่ใส่เข้ามาอย่างไม่ขาดสาย เพื่อไม่ให้ตัวภาพยนตร์นิ่งเกินไป
ขณะเดียวกัน ผู้กำกับและทีมสร้างก็ไม่ลืมที่จะสอดแทรกความคอเมดี้เข้ามาอย่างพอประมาณ เพื่อเสริมให้ Black Adam มีรสชาติที่กลมกล่อมมากขึ้น ซึ่งหากใครที่ชอบมุกตลกแนวๆ Jumanji เราคิดว่าคุณน่าจะสนุกกับความคอเมดี้ของ Black Adam ได้ไม่ยากนัก
อย่างไรก็ตาม อีกเหตุผลหนึ่งที่เราใช้คำว่า ‘บันเทิง’ เนื่องจาก Black Adam มีข้อสังเกตในแง่ของเนื้อเรื่องและการคลี่คลายปมปัญหาต่างๆ ที่ดูจะเรียบง่ายเกินไปเสียหน่อย
ประการแรก อย่างที่เรากล่าวไว้ในตอนต้นว่าผู้กำกับและทีมสร้างมีการใส่ฉากแอ็กชันเข้ามาอย่างเนืองแน่นก็จริง แต่พร้อมกันนั้นมันก็ส่งผลให้เวลาในการเล่าเรื่องถูกลดทอนลงเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเรื่องราวของตัวละครต่างๆ ที่ถูกนำเสนอให้เรารู้จักเพียงผิวเผินเท่านั้น เช่น ความสัมพันธ์ระหว่าง Doctor Fate (Pierce Brosnan) และ Hawkman (Aldis Hodge) ที่ทีมสร้างพยายามจะผูกปมบางอย่างเอาไว้ แต่ด้วยเวลาในการปูพื้นหลังของทั้งสองคนที่น้อยเกินไป จึงส่งผลให้เราไม่รู้สึกผูกพันหรืออินไปกับประเด็นที่ภาพยนตร์พยายามนำเสนอ
อีกทั้งภาพยนตร์ยังเลือกใช้วิธีการคลายปมปัญหาต่างๆ ที่ดูเรียบง่ายเกินไปสักหน่อย มันจึงทำให้เราสามารถคาดเดาเนื้อเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบได้ไม่ยาก เช่น เรื่องราวความเป็นมาของ Black Adam และปมปัญหาที่เขาต้องแบกรับ ผู้กำกับและทีมสร้างก็เลือกที่จะคลี่คลายประเด็นดังกล่าวด้วยวิธีที่เรียบง่ายและไม่เกินความคาดหมายของเรามากนัก ด้วยการนำเสนอเรื่องราวและการคลี่คลายปมปัญหาที่เรียบง่ายเหล่านี้ จึงส่งผลให้เราไม่รู้สึกผูกพันกับตัวละคร และไม่ทำให้เราอยากจะเอาใจช่วยพวกเขาเท่าไรนัก
ในภาพรวมแล้ว แม้ว่า Black Adam จะมีข้อสังเกตในแง่ของเนื้อเรื่องอยู่บ้าง แต่หากเรามองภาพรวมทั้งหมด เราคิดว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ก็สามารถสร้างความบันเทิงให้กับเราได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะฉากแอ็กชันที่ใส่เข้ามาแบบจัดเต็ม เพื่อโชว์ให้เราเห็นถึงพลังอันล้นเหลือของ Black Adam และสมาชิกทีม Justice Society ไปจนถึงความคอเมดี้ที่สร้างเสียงหัวเราะให้เราได้ตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งทำให้เราอยากติดตามต่อว่าเรื่องราวของ Black Adam และทีม Justice Society จะถูกนำไปต่อยอดในจักรวาล DCEU ในรูปแบบไหน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับฉากท้ายเครดิตของเรื่อง ที่ทำให้อนาคตของจักรวาล DCEU ดูน่าตื่นเต้นและชวนติดตามมากขึ้นอีกหลายเท่าตัวจริงๆ
Black Adam เข้าฉายอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ ในโรงภาพยนตร์
รับชมตัวอย่างได้ที่นี่
ภาพ: Warner Bros. Pictures