วันนี้ (2 ธันวาคม) ขจิต ชัชวานิชย์ ปลัดกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า ตามที่พบการแพร่ระบาดของโรคโควิดสายพันธุ์ใหม่ ‘โอไมครอน’ ในหลายประเทศ และประเทศไทยมีคำสั่งระงับการเดินทางเข้าของผู้ที่มาจากประเทศที่มีการระบาด ทางกรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้ติดตามและเฝ้าระวังโควิดสายพันธุ์โอไมครอนอย่างใกล้ชิด โดยสำนักอนามัย กทม. ได้บูรณาการความร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการติดตามสถานการณ์และเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโควิดสายพันธุ์โอไมครอน รวมทั้งได้ปรับมาตรการการป้องกันควบคุมโรคโควิดสำหรับผู้เดินทางเข้าราชอาณาจักรจากทวีปแอฟริกา โดยมีการเพิ่มจำนวนวันกักตัว วันคุมไว้สังเกตและการห้ามเข้าประเทศ และต้องตรวจ RT-PCR 3 ครั้ง วันที่ 0-1, 5-6, 12-13
นอกจากนี้จะจัดเจ้าหน้าที่สำรวจตรวจสอบชุมชนที่มีชาวแอฟริกันอาศัยอยู่ หากมีผู้เดินทางเข้ามาใหม่จำเป็นต้องกักตัวตามมาตรการป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด และจะประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนในชุมชนร่วมกันสอดส่องดูแล ไม่ให้มีคนแปลกหน้าเข้ามาอาศัยโดยพลการ
ในส่วนของการเตรียมความพร้อมเรื่องระบบสาธารณสุขเพื่อรองรับการระบาดระลอกใหม่ที่อาจเกิดขึ้น ทั้งอุปกรณ์การแพทย์ สถานพยาบาล รวมไปถึงระบบที่จะควบคุมการระบาดให้อยู่ในวงจำกัดโดยเร็วไม่กระจายไปเป็นพื้นที่กว้าง รวมถึงการเร่งรัดการฉีดวัคซีนให้ได้ตามเป้าหมาย ได้เตรียมความพร้อมยกระดับแผนเผชิญเหตุฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุขกรณีพบผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนในพื้นที่กรุงเทพฯ อย่างไรก็ตาม ขอให้ประชาชนยังคงปฏิบัติตามมาตรการส่วนบุคคล มาตรการทางสังคม เช่น การสวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง ล้างมือ เพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิดในพื้นที่กรุงเทพฯ อย่างเข้มงวดและต่อเนื่อง
ในส่วนของสำนักการแพทย์ ได้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคที่คณะกรรมการโรคติดต่อ กทม. กำหนด และบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อเพิ่มศักยภาพการ Swab และให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด ทั้งเข็ม 1 เข็ม 2 และเข็ม 3 อย่างเต็มกำลังและทั่วถึงทุกกลุ่มเป้าหมาย
ขจิตกล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อเป็นการป้องกันการติดเชื้อโควิดทั้งตัวเองและครอบครัว กทม. ขอให้ประชาชนปฏิบัติตนตามแนวคิดเรื่องการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 แบบครอบจักรวาล (Universal Prevention for COVID-19) 10 ข้อ ดังนี้
- ออกจากบ้านเมื่อจําเป็นเท่านั้น
- เว้นระยะห่างจากคนอื่นอย่างน้อย 1-2 เมตร ในทุกสถานที่
- สวมหน้ากากอนามัยและทับด้วยหน้ากากผ้าตลอดเวลา ทั้งที่อยู่ในและนอกบ้านที่มีคนมากกว่า 2 คน
- ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่หรือแจลแอลกอฮอล์ทุกครั้ง ก่อนรับประทานอาหาร หลังใช้ส้วม ไอจาม หรือสัมผัสวัตถุ/สิ่งของที่ใช้ร่วมกัน
- หลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าที่สวมใส่อยู่ รวมทั้งใบหน้า ตา จมูก ปาก โดยไม่จําเป็น
- ผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง ผู้ที่อายุมากกว่า 60 ปี และผู้มีโรคเรื้อรัง หลีกเลี่ยงการออกนอกบ้าน เว้นแต่จําเป็น (น้อยครั้งและใช้เวลาสั้นที่สุด)
- ทําความสะอาดและฆ่าเชื้อพื้นผิวที่ถูกสัมผัสบ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นข้าวของเครื่องใช้หรือสิ่งแวดล้อมด้านกายภาพ
- แยกของใช้ส่วนตัวทุกชนิด ไม่ควรใช้ของร่วมกับผู้อื่น
- เลือกรับประทานอาหารที่ร้อนหรือปรุงสุกใหม่ ควรรับประทานอาหารแยกสํารับ หากรับประทานร่วมกันให้ใช้ช้อนกลางส่วนตัว
- หากสงสัยว่าตนเองมีความเสี่ยง เช่น สัมผัสผู้ที่อาจติดเชื้อ หรือมีอาการ ควรได้รับการตรวจด้วย ATK บ่อยๆ เพื่อยืนยันว่ามีการติดเชื้อหรือไม่ หรือไปรับการตรวจรักษาที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน
ในส่วนของผู้ประกอบการ แนะนำให้ดำเนินการตามมาตรการ COVID-Free Setting ประกอบด้วย 3 ด้าน คือ
- COVID-Free Environment ด้านสิ่งแวดล้อมปลอดโควิด องค์กรต่างๆ มีระบบระบายอากาศ สุขอนามัย สะอาดปลอดภัย เว้นระยะห่าง ทำความสะอาดจุดสัมผัสร่วมทุก 1-2 ชั่วโมง
- COVID-Free Personnel ด้านผู้ประกอบการ/พนักงานปลอดโควิด ได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์ คัดกรองความเสี่ยงพนักงานทุกวันด้วยระบบไทยเซฟไทย และตรวจ ATK ทุกสัปดาห์
- COVID-Free Customer ด้านผู้ใช้บริการ/ลูกค้าปลอดโควิด ให้คัดกรองความเสี่ยงก่อนเข้าร้านด้วยแพลตฟอร์ม ‘ไทยเซฟไทย’ หรือแอปพลิเคชันอื่นที่ทางราชการกำหนด และแสดง Green Card สำหรับผู้ที่ฉีดวัคซีนครบตามเกณฑ์ หรือแสดง Yellow Card สำหรับผู้ที่เคยติดเชื้อ หรือมีผล ATK เป็นลบภายใน 7 วัน