ปรมินทร์ อินโสม ผู้ก่อตั้งและกรรมการ บริษัท สตางค์ คอร์ปอเรชั่น กล่าวในงานเสวนาหัวข้อ ‘Cryptocurrency พลิกโลกการเงินหลังโควิด 2021’ ซึ่งจัดโดยวารสารการเงินธนาคารว่า ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีในปัจจุบันอยู่ในช่วงที่เต็มไปด้วยปัจจัยบวก เห็นได้จากการที่หลายประเทศเริ่มให้การยอมรับมากขึ้น เอลซัลวาดอร์ให้ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย สวิตเซอร์แลนด์มีการทำโพลว่าจะนำไปใช้เป็นเงินสำรองหรือไม่ ขณะที่จีนซึ่งมีนโยบายคัดค้านก็เริ่มควบคุมไม่ได้แล้ว
นอกจากนี้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. ของสหรัฐฯ ก็ยังอนุมัติให้จัดตั้งกองทุน Bitcoin Futures ETF ซึ่งคาดว่าในอนาคตก็น่าจะมีกองทุนของเหรียญอื่นๆ เช่น Ethereum ทยอยออกตามมาอีก
สำหรับคำถามที่ว่า Bitcoin จะมีโอกาสขึ้นไป All Time High ที่ 100,000 ดอลลาร์หรือไม่ ปรมินทร์กล่าวว่า ด้วยปัจจัยบวกในปัจจุบัน หากไม่มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด หรือ Black Swan เกิดขึ้น ก็อาจมีความเป็นไปได้ที่ภายใน 1-2 เดือน ราคาจะขึ้นไปสู่ระดับดังกล่าว
อย่างไรก็ดี หากมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้น ก็มีโอกาสที่ราคาจะไปไม่ถึง ดังนั้น นักลงทุนอาจต้องคำนวณจุดเป้าหมายของตัวเอง รวมถึงจุดที่สามารถรับความเสี่ยงการขาดทุนได้เอาไว้
ปรมินทร์กล่าวว่า อีกหนึ่งประเด็นที่อาจส่งผลให้ราคา Bitcoin ปรับเพิ่มขึ้นได้อีกคือ ก.ล.ต. สหรัฐฯ จะอนุมัติให้มี Bitcoin ETF เกิดขึ้นหรือไม่ เนื่องจากในปัจจุบันยังจำกัดอยู่ที่แค่ฟิวเจอรส์ ทั้งนี้ หากมองย้อนไปในปี 2018 ที่ทุกคนรอลุ้นกันให้เกิด Bitcoin ETF ช่วงนั้นราคา Bitcoin ก็ปรับเพิ่มขึ้น ก.ล.ต. สหรัฐฯ อาจมองว่ายังไม่พร้อมจึงยังไม่มีการอนุมัติ ดังนั้น อนาคตมี Bitcoin ETF เกิดขึ้น ราคาก็จะพุ่งขึ้นอีกได้
ด้าน เอกลาภ ยิ้มวิไล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัทซิปเม็กซ์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า โดยส่วนตัวเชื่อว่าโอกาสที่จะได้เห็น Bitcoin ขึ้นไปทำ All Time High ที่ 100,000 ดอลลาร์ก็ยังมีความเป็นไปได้ แต่ต้องไม่ลืมว่าปัจจุบัน Market Size ของ Bitcoin โตขึ้นจาก 6-7 ปีที่แล้วมาก การจะเติบโตในเปอร์เซ็นต์ที่สูงๆ แบบในอดีตจะเป็นเรื่องยากขึ้น
“โดยปกติไตรมาสที่ 4 จะเป็นตลาดขาขึ้นอย่างรุนแรง เราอาจต้องติดตามต่อไป ถ้าเริ่มเห็นตลาดเป็นขาขึ้นอย่างรุนแรงและเติบโตรวดเร็ว อาจจะเป็นสัญญาณว่าตลาดจะเริ่มอิ่มตัวหรือเปล่า ถามว่ามีโอกาสถึง (100,000 ดอลลาร์) หรือไม่ ผมว่าก็มี แต่เมื่อถึงแล้วนักลงทุนก็ควรที่จะปรับสมดุลพอร์ตและปรับสัดส่วนการลงทุนใหม่” เอกลาภกล่าว
จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ กล่าวว่า การพิจารณาราคาของคริปโตเคอร์เรนซีต้องพิจารณาจากทั้งปัจจัยด้านมหภาค หรือ Macro และด้านจุลภาค หรือ Micro ซึ่งในส่วนของ Macro จะเห็นว่าในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ มีการทำ QE มากถึง 8.56 ล้านล้านดอลลาร์ ส่งผลให้เกิดสภาพคล่องล้นโลก ตลาดหลักทรัพย์ต่างๆ รวมถึงตลาดคริปโตเคอร์เรนซีก็ทำ All Time High
ทั้งนี้ เมื่อเทียบขนาดของตลาดคริปโตเคอร์เรนซีที่มีมูลค่า 2.7 ล้านล้านดอลลาร์ กับมูลค่าตลาดหุ้นที่ 70 ล้านล้านดอลลาร์ และตลาดตราสารหนี้ที่ 100 ล้านล้านดอลลาร์ จะเห็นว่าตลาดคริปโตเคอร์เรนซียังเล็กกว่าค่อนข้างมาก ดังนั้น หากเพียงแค่ 1% ของการลงทุนในรูปแบบเก่ากระจายมาที่คริปโตเคอร์เรนซี ก็จะทำให้ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีเติบโตได้อีกเท่าตัว แต่ก็มีประเด็นที่ต้องระวังคือการดึงสภาพคล่องกลับของสหรัฐฯ เพราะจะทำให้เกิด Reverse Effect
สำหรับปัจจัยด้าน Micro จะพบว่าปัจจุบันยังเต็มไปด้วยปัจจัยบวก เช่น การที่ธนาคารใหญ่อย่าง J.P. Morgan และ Goldman Sachs เริ่มเข้ามาลงทุน การมาถึงของ CBDC ทำให้ Bitcoin ยังมีโอกาสเติบโต แต่ก็อาจมีช็อกระยะสั้นๆ เกิดขึ้นได้เช่นกัน ดังนั้น นักลงทุนที่ต้องการเข้ามาลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซีควรจะรู้วิธีดูปัจจัยพื้นฐานของเหรียญต่างๆ เช่น ต้องดูว่า Protocol เป็น Open Source จริงๆหรือไม่, จำนวน Computing Power ของเหรียญนั้นๆ, เรื่อง Blockchain Governance
“ผมแนะนำว่าอย่าเอาเงินร้อน เช่น เงินกู้ ขายบ้าน ขายรถ มาลงทุน อย่าใช้อารมณ์มากกว่าสติ อย่าดูคนอื่นว่าได้กำไรแล้วเราจะได้กำไรตาม อีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญคือต้องระมัดระวังพวก Scammer เพราะอะไรที่โตเร็วและเป็นเรื่องเข้าใจยากจะมีคนกลุ่มหนึ่งมาฉวยโอกาสเสมอ อะไรที่มันดีเกินจริงหรือการันตีผลตอบแทนไม่มีอยู่จริง ถ้าดีจริงเขาคงบอกญาติพี่น้องตัวเอง ไม่มาบอกเรา” จิรายุสกล่าว
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP