ราคาของบิตคอยน์ที่ร่วงลงมาต่อเนื่องจนแตะจุดต่ำสุดในรอบ 4 เดือน ที่ระดับ 29,000 ดอลลาร์ ต่อ 1 บิตคอยน์ ก่อนที่จะฟื้นตัวกลับมายืนบริเวณ 35,000-36,000 ดอลลาร์ ในวันที่ 24 พฤษภาคมนี้
การร่วงลงมาในรอบนี้กระทบต่อนักลงทุนสถาบันและบริษัทต่างๆ ที่ตัดสินใจเข้าลงทุนก่อนหน้านี้ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ Tesla ที่ได้เข้าซื้อบิตคอยน์ในช่วงก่อนหน้า
Market Watch รายงานว่า Tesla มีโอกาสที่จะบันทึกผลขาดทุนทางบัญชีในช่วงไตรมาส 2 นี้ หากราคาบิตคอยน์ไม่สามารถฟื้นตัวกลับไปได้ ทั้งนี้ คาดว่าต้นทุนของ Tesla ที่ถือครอง ณ สิ้นไตรมาสแรก น่าจะอยู่ที่ราว 36,700 ดอลลาร์ คิดเป็นมูลค่าการลงทุนประมาณ 1.5 พันล้านดอลลาร์ และคาดว่า Tesla น่าจะถือครองบิตคอยน์อยู่ประมาณ 42,000 บิตคอยน์ ณ สิ้นไตรมาสแรกที่ผ่านมา
นอกจากนี้ Chain Analysis ได้ประเมินว่า ช่วงที่นักลงทุนสถาบันในสหรัฐฯ เข้าซื้อบิตคอยน์พร้อมๆ กัน คิดเป็นเงินลงทุนรวมกันประมาณ 4 แสนล้านดอลลาร์ น่าจะมีต้นทุนเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 36,000 ดอลลาร์
เพราะฉะนั้นหากราคาบิตคอยน์ต่ำกว่า 36,000 ดอลลาร์ นักลงทุนสถาบันเหล่านี้อาจต้องบันทึกผลขาดทุนจากการลงทุนในช่วงที่ผ่านมา
ขณะที่ Stack Funds บริษัทลงทุนด้านสินทรัพย์ดิจิทัล เปิดเผยผ่าน Coindesk ว่า ในระยะสั้นปัจจัยเชิงพื้นฐานของบิตคอยน์ในเชิงบวกยังไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไป และยังคงเห็นภาคธุรกิจและผู้คนยอมรับมากขึ้น ซึ่งจังหวะนี้อาจเป็นโอกาสที่ดีสำหรับคนที่ต้องการจะเพิ่มสัดส่วนการถือครองสินทรัพย์ดิจิทัล
อย่างไรก็ตาม การปรับฐานของบิตคอยน์สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา และในตลาดขาลง การปรับฐานในระดับมากกว่า 20% อาจกินเวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน
ข้อมูลจาก Econometrics ระบุว่า หลังปรากฏการณ์ Halving ของบิตคอยน์ ซึ่งบล็อกเชนจะตัดทอนผลตอบแทนจากการขุดบิตคอยน์ลงครึ่งหนึ่งโดยอัตโนมัติ ซึ่งจะเกิดขึ้นทุกๆ 4 ปี และครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้นคือเดือนพฤษภาคม 2020
“ขณะนี้เรากำลังอยู่กับการปรับฐานอีกครั้งหนึ่งของบิตคอยน์ ซึ่งเกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติหลังจากตลาดขาขึ้นภายหลังปรากฏการณ์ Halving ซึ่งการร่วงลง 20% ภายใน 5 วัน ไม่ได้เป็นสิ่งที่ผิดปกติอะไร แต่จากลักษณะของราคาในปัจจุบันต้องยอมรับว่าบิตคอยน์ไม่ได้กำลังอยู่ในทิศทางขาขึ้น”
ทั้งนี้ จากสถิติภายหลังการ Halving ใน 2 ครั้งที่ผ่านมา ราคาของบิตคอยน์มีโอกาสจะปรับตัวลงได้ลึกสุดถึง 80% จากราคาสูงสุดที่ผ่านมา
อ้างอิง: