วันนี้ (23 มกราคม) เหรียญคริปโตเบอร์ 1 ตามมูลค่าตลาดอย่างบิทคอยน์ หลังจากที่สามารถสร้างผลตอบแทนปิดปีไปกว่า 150% ที่ระดับราคาราว 42,000 ดอลลาร์ในช่วงปี 2023 แต่กลับทำผลตอบแทนในช่วงมกราคมของปีนี้ ปิดลบไปราว 7.88% นับตั้งแต่ต้นปี ลงมาเคลื่อนไหวบริเวณ 40,600 ดอลลาร์ หลังจากที่กองทุน Bitcoin Spot ETF ได้รับการอนุมัติเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทำให้นักลงทุนเริ่มแห่ขายทำกำไรออกมาบ้าง
โดยในช่วงต้นมกราคมนี้ (11 มกราคม) ที่กองทุน Bitcoin Spot ETF 11 กองได้รับการอนุมัติให้สามารถซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ได้สำเร็จ ทำให้ราคาบิทคอยน์ปรับตัวขึ้นไปอย่างรวดเร็ว จากระดับ 46,000 ดอลลาร์ สู่ 49,000 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นจุดสูงสุดในรอบ 2 ปี นับตั้งแต่ช่วงปลายเดือนธันวาคมปี 2021
ก่อนที่จะถูกเทขายทำกำไรอย่างรวดเร็วในวันเดียวกันกลับไปที่ระดับ 45,000-46,000 ดอลลาร์ ซึ่งในช่วงหลังจากนั้นก็ถูกเทขายทำกำไรออกมาอย่างต่อเนื่อง (Sell on Fact) หลังจากที่มีการเก็งกำไรขึ้นมาจากข่าวกองทุน Bitcoin Spot ETF ในช่วงปีที่ผ่านมา จนมาเคลื่อนไหวที่ระดับราคา 40,600-40,700 ดอลลาร์ในปัจจุบัน
ในขณะที่เหรียญคริปโตที่มีมูลค่าตามตลาดรองลงมาอย่างอีเทอเรียม ก็ปรับตัวไปในทิศทางเดียวกัน ที่สร้างผลตอบแทนในช่วงปีก่อนไปราว 91% ปิดที่ราว 2,300 ดอลลาร์ แต่นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงเดือนมกราคม 2024 กลับปรับตัวขึ้นมาราว 0.69% เคลื่อนไหวที่บริเวณ 2,368 ดอลลาร์
ซึ่งคาดว่าอาจมาจากกระแสเก็งกำไรลูกถัดไป ที่นักลงทุนมองว่าหาก Bitcoin Spot ETF สามารถอนุมัติได้ กองทุน Ethereum Spot ETF ที่คาดว่าจะพิจารณาการอนุมัติภายในเดือนพฤษภาคมนี้ก็อาจเป็นเหรียญถัดไปที่จะมีกระแสเงินไหลเข้ามาได้
ในขณะที่เหรียญฮอตฮิตของวงการอย่าง BNB ของแพลตฟอร์ม Binance กลับไม่ทำผลตอบแทนมาเหมือนเหรียญคริปโตอื่นๆในช่วงปีก่อน (2023) โดยทำผลตอบแทนปิดปีไปเพียง 23% ที่ระดับ 313 ดอลลาร์
คาดว่ามาจากปัจจัยข่าวด้านลบที่เข้ามากดดันทั้ง Binance และอดีตซีอีโอของ Binance อย่าง CZ ที่นักลงทุนต่างมองกันว่ามีผลโดยตรง ต่อทิศทางในอนาคตของเหรียญดังกล่าว ซึ่งในช่วงมกราคมของปีนี้ BNB ก็เคลื่อนไหวในทิศทางทรงตัว อยู่ที่บริเวณ 313 ดอลลาร์ นับจากต้นปี
อ้างอิง: