ตลาดสินทรัพย์การลงทุนต่างๆ ทั้งหุ้นและคริปโตเคอร์เรนซียังคงเต็มไปด้วยความปั่นป่วน ล่าสุดดัชนี Dow Jones Futures ร่วงลงไปกว่า 500 จุด ในขณะที่ Bitcoin เหรียญคริปโตที่ได้รับความนิยมมากสุด ดิ่งลงต่ำกว่าระดับ 33,000 ดอลลาร์ไปเป็นที่เรียบร้อย
โดยราคา Bitcoin ล่าสุดวันนี้ (9 พฤษภาคม) ณ เวลา 18.45 น. ตามเวลาประเทศไทย เคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 32,897 ดอลลาร์ ลดลง 5.53% จากช่วง 24 ชั่วโมงก่อนหน้านี้ ขณะที่ช่วง 7 วันที่ผ่านมา ราคา Bitcoin ร่วงลงไปแล้วกว่า 14.5%
นักวิเคราะห์ตลาดคริปโตระบุว่า หลังจาก Bitcoin หลุดแนวรับสำคัญที่บริเวณ 37,500 ดอลลาร์ มีโอกาสสูงที่จะลงไปทดสอบแนวรับถัดไปที่บริเวณ 30,000 ดอลลาร์ และหากยังไม่สามารถรองรับได้ อาจเห็นราคา Bitcoin ร่วงลงมาเคลื่อนไหวที่บริเวณ 25,000 ดอลลาร์
การปรับตัวลดลงของตลาดคริปโตถือว่าเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นวอลล์สตรีท โดยล่าสุดวันนี้ดัชนี Dow Jones Futures ร่วงลงกว่า 539 จุด หรือ 1.6% บ่งชี้ว่าตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะปรับตัวลงในคืนนี้ ต่อเนื่องจากที่ร่วงลงในสัปดาห์ที่แล้ว นักลงทุนยังคงกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ต้องขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ในกลางเดือนหน้าเพื่อเอาชนะเงินเฟ้อ แม้ Jerome Powell (เจอโรม พาวเวลล์) ประธาน Fed ย้ำปรับขึ้นเพียง 0.50% ขณะที่บอนด์ยีลด์สหรัฐฯ 10 ปี พุ่งแตะ 3.185% สูงสุดในช่วง 4 ปี
ทั้งนี้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วดัชนี Dow Jones ปรับตัวลง 0.24% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงเป็นสัปดาห์ที่ 6 ติดต่อกัน ขณะที่ดัชนี S&P 500 ร่วงลง 0.21% และดัชนี Nasdaq ดิ่งลง 1.54% ซึ่งเป็นการร่วงลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 5
ดัชนีตลาดหุ้นวอลล์สตรีทยังคงถูกกดดันในวันนี้ จากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ที่ขยับขึ้นสู่ระดับ 3.185% สูงสุดนับตั้งแต่ปี 2018
หุ้นกลุ่มเทคยังคงได้รับแรงกดดันอย่างหนักจากปัจจัยข้างต้น โดยหุ้น Big Tech เช่น Meta Platforms ลดลง 2.5% และ Alphabet ลดลง 2.7% รวมถึงหุ้น Amazon, Apple และ Netflix ที่ปรับตัวลดลงมากกว่า 2%
นอกจากนี้หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงก่อนเปิดตลาดวอลล์สตรีทในคืนนี้เช่นกัน ตามการดิ่งลงของราคาน้ำมันในวันนี้
ทั้งนี้ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ถือเป็นพันธบัตรที่ใช้อ้างอิงในการกำหนดราคาของตราสารหนี้ทั่วโลก ซึ่งรวมถึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง หากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวขึ้น จะทำให้บริษัทต่างๆ เผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากการชำระหนี้ ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทเหล่านี้ลดการลงทุน และลดการจ่ายเงินปันผลแก่นักลงทุน
นักลงทุนคาดการณ์ว่า Fed อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมเดือนมิถุนายน แม้ว่าประธาน Fed จะยืนยันว่า Fed ยังไม่ได้พิจารณาเรื่องการปรับขึ้นดอกเบี้ยรุนแรงขนาดนั้นก็ตาม
FedWatch Tool ของ CME Group ระบุว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 75% สำหรับความเชื่อว่า Fed จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมวันที่ 14-15 มิถุนายนนี้ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากระดับ 19% เมื่อเดือนที่แล้ว
นอกจากนี้นักลงทุนยังคาดการณ์ว่า Fed จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวมมากกว่า 2.00% ในปีนี้ ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นแตะระดับ 2.85% ในช่วงสิ้นปีนี้
รวมถึงนักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคในวันพุธนี้ ซึ่งอาจมีผลต่อการตัดสินใจกำหนดนโยบายการเงินของ Fed ในการประชุมเดือนมิถุนายน
Maneesh Deshpande ของ Barclays คาดการณ์ว่าตลาดจะยังผันผวนต่อไป และมีความเสี่ยงที่จะเป็นขาลงและเข้าสู่ภาวะตลาดหมี ส่วนฝั่ง Upside นั้นมองว่ามีค่อนข้างจำกัด
David Tepper ผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์มหาเศรษฐีบอกกับ Scott Wapner ของ CNBC เมื่อวันศุกร์ว่า คำแถลงของ Powell เป็น Unforced Error ซึ่งส่งผลต่อความผันผวนของตลาด
ขณะที่ JC O’Hara จาก MKM Partners กล่าวว่า ดัชนีมีแนวโน้มที่จะลดลงอย่างต่อเนื่อง และยังมองไม่เห็นสัญญาณทางเทคนิคเพียงพอที่จะบ่งชี้ว่าการปรับลงรอบนี้ถึงจุดต่ำสุดแล้ว
อ้างอิง:
