หุ้น บมจ.ไบโอซายน์ แอนิมัล เฮลธ์ หรือ BIS และหุ้น บมจ.บริหารสินทรัพย์ ไนท คลับ แคปปิตอล หรือ KCC เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai วันนี้เป็นวันแรก ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนอย่างล้นหลาม โดยราคาเปิดการซื้อขายปรับเพิ่มขึ้นกว่า 60-80%
วันนี้ (5 พฤษภาคม) หุ้น IPO จำนวน 2 บริษัทเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai เป็นวันแรก ประกอบด้วย BIS โดยราคาเปิดการซื้อขายที่ 11 บาท เพิ่มขึ้น 5 บาท จากราคา IPO ที่ระดับ 6 บาท คิดเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้น 83.33 %
และ KCC ราคาเปิดการซื้อขายที่ 6.20 เพิ่มขึ้น 2.5 บาท จากราคา IPO ที่ระดับ 3.70 บาท คิดเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้น 67.56 %
ทั้งนี้ BIS เป็นผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายเวชภัณฑ์ เครื่องมือ อุปกรณ์ และผลิตภัณฑ์สำหรับปศุสัตว์และสัตว์เลี้ยงแบบครบวงจร เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai ด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 1,884 ล้านบาท
BIS มีทุนชำระแล้ว 157 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.5 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 220 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 94 ล้านหุ้น โดยเสนอขายต่อบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ 70.5 ล้านหุ้น เสนอขายต่อผู้มีอุปการคุณของบริษัท 14.1 ล้านหุ้น และเสนอขายต่อบุคคลผู้มีความสัมพันธ์ และพนักงานของบริษัท 9.4 ล้านหุ้น ในราคาเสนอขายหุ้นละ 6 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 564 ล้านบาท
ราคาเสนอขายหุ้น IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) ที่ 27.45 เท่า
นสพ.ธนวัฒน์ คงเจริญสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BIS เปิดเผยว่า บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปชำระคืนเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน ขยายโรงงาน และการลงทุนเพิ่มเติมในเครื่องจักร เป็นเงินทุนสนับสนุนงานวิจัยและพัฒนาวัคซีนปศุสัตว์เพื่อต่อยอดการผลิตวัคซีนในเชิงพาณิชย์ และเป็นเงินทุนหมุนเวียน
ผู้ถือหุ้นใหญ่หลัง IPO ได้แก่ บริษัท บีไอเอส กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด ถือหุ้น 33.03% และ นสพ.ธนวัฒน์ คงเจริญสมบัติ ถือหุ้น 8.87%
บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 30% ของกำไรสุทธิจากงบการเงินรวมบริษัทและบริษัทย่อย (Consolidated) และพิจารณาร่วมกับงบการเงินเฉพาะกิจการ ภายหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และการจัดสรรทุนสำรองต่างๆ ทุกประเภท
ด้าน KCC ดำเนินธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ และบริหารจัดการทรัพย์สินรอการขาย เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai ด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IP0 2,294 ล้านบาท
KCC มีทุนชำระแล้ว 310 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 460 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 160 ล้านหุ้น โดยเสนอขายต่อบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ 150.32 ล้านหุ้น เสนอขายต่อผู้มีอุปการคุณของบริษัท 3.88 ล้านหุ้น และเสนอขายต่อกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัท 5.80 ล้านหุ้น ในราคาเสนอขายหุ้นละ 3.70 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 592 ล้านบาท
ทั้งนี้ การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น (P/BV) ที่ 5 เท่า โดยคำนวณจากมูลค่าทางบัญชีสุทธิสิ้นสุดปี 2564 ของบริษัท 460.61 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วภายหลังจากการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ 620 ล้านหุ้น จะได้มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น 0.74 บาท (Fully Diluted Book Value per Share) โดยมีบริษัท แอดไวเซอรี่ พลัส จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และบริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญ
ทวี กุลเลิศประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KCC กล่าวว่า บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้ในการจัดหาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและทรัพย์สินรอการขาย ชำระคืนเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน และ/หรือชำระหุ้นกู้ที่ถึงกำหนดที่ออกโดยบริษัท และ/หรือภาระหนี้สินอื่นใดของบริษัท และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ
KCC มีผู้ถือหุ้นใหญ่หลัง IPO ได้แก่ กลุ่มบุญบรรเจิดศรี ถือหุ้น 52.07% และ ทวี กุลเลิศประเสริฐ ถือหุ้น 22.32%
บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิจากงบเฉพาะกิจการ ภายหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และเงินสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายและข้อบังคับของบริษัท
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP