มหาเศรษฐีผู้สนับสนุน โดนัลด์ ทรัมป์ รายหนึ่ง ได้เรียกร้องให้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระงับมาตรการขึ้นภาษีการค้าที่เพิ่งประกาศไป เตือนแรง! อาจเสี่ยงต่อการสร้าง ‘ฤดูหนาวนิวเคลียร์ทางเศรษฐกิจ’ ที่เกิดจากตัวเอง ขณะที่ซีอีโอบิ๊กคอร์ปฯ หลายรายยอมรับ เห็นสัญญาณภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ท่ามกลางความปั่นป่วนในตลาดการเงิน บิล แอ็กแมน ผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ กล่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ควรใช้เวลา 3 เดือนเพื่อเปิดโอกาสให้ประเทศต่างๆ เจรจาทบทวนความสัมพันธ์ทางการค้ากับสหรัฐฯ ใหม่
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (7 เมษายน) คำเตือนของแอ็กแมนได้รับการสนับสนุนจากบุคคลสำคัญในวอลล์สตรีทหลายคน โดย เจมี ไดมอน ประธานธนาคาร JPMorgan Chase ระบุว่า ภาษีศุลกากรของทรัมป์อาจทำให้ราคาสินค้าในสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้น
แม้จะเกิดแรงสั่นสะเทือนเช่นนี้ แต่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังคงเดินหน้านโยบายขึ้นภาษีนำเข้าต่อไป โดยทำเนียบขาวรีบออกมาปฏิเสธข่าวลือว่า อาจระงับการขึ้นภาษีชุดใหม่ว่าเป็น ‘ข่าวปลอม’
ข่าวลือเมื่อเช้าวันจันทร์ มีใจความว่า ทรัมป์กำลังพิจารณาหยุดพักการขึ้นภาษี 90 วัน ซึ่งข่าวลือนี้ส่งผลให้ตลาดหุ้นที่กำลังร่วงอย่างรวดเร็วพลิกตัวขึ้นชั่วคราว แต่ทำเนียบขาวก็รีบออกมาปฏิเสธข่าวลือดังกล่าวทันที แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของทรัมป์ต่อมาตรการภาษีนำเข้าใหม่ของเขา ราคาหุ้นจึงค่อยๆ ทรงตัวหลังจากนั้น
ภาษีพื้นฐาน 10% สำหรับสินค้าจากประเทศส่วนใหญ่ที่ทรัมป์ประกาศเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีผลบังคับใช้แล้ว ขณะที่อัตราภาษีตอบโต้ ที่สูงกว่านั้นสำหรับบางประเทศคาดว่าจะประกาศใช้ในปลายสัปดาห์นี้ โดยบางประเทศกำลังพยายามเจรจาขอลดอัตราภาษีกับทำเนียบขาว
มาตรการภาษีชุดใหม่นี้ รวมถึงภาษีที่ทรัมป์ได้กำหนดไว้ก่อนหน้านี้กับสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโก รวมถึงการนำเข้ารถยนต์ทั้งหมด กำลังสร้างความกังวลให้กับภาคธุรกิจและผู้นำเศรษฐกิจ ว่าอาจทำให้ราคาสินค้าในสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้น และจุดชนวนสงครามการค้าระดับโลก
ซีอีโอของ BlackRock ซึ่งเป็นผู้จัดการสินทรัพย์รายใหญ่ที่สุดในโลกกล่าวเมื่อวันจันทร์ว่า มาตรการขึ้นภาษีนำเข้าจะทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้น อาจกระตุ้นเงินเฟ้อ และมีส่วนทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย
ขณะที่เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา Goldman Sachs ประเมินว่า มีโอกาส 45% ที่สหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยภายในปีนี้ เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนซึ่งประเมินไว้ที่ 35% ก่อนที่ทรัมป์จะเปิดตัวแผนภาษีในการจัดงานที่มีชื่อว่า ‘Liberation Day’ ซึ่งในวันนั้น ทรัมป์ได้กล่าวไว้ว่า ภาษีนำเข้าจะช่วยเสริมสร้างประเทศของเขาด้วยการสร้างงานใหม่และกระตุ้นการลงทุน
ย้อนกลับไปเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (6 เมษายน) แอ็กแมนโพสต์ผ่านแพลตฟอร์ม X ว่า ยอมรับเหตุผลของทรัมป์ที่ว่า ระบบการค้าโลกในปัจจุบันนั้นเอาเปรียบสหรัฐฯ แต่อย่างไรก็ตาม เขาเขียนว่าภาษีที่ทรัมป์ใช้นั้น รุนแรงและไม่สมส่วน อีกทั้งยังไม่แยกระหว่างมิตรและศัตรูของอเมริกา
ทั้งนี้ แอ็กแมนเป็นมหาเศรษฐีผู้ก่อตั้งบริษัทบริหารกองทุนเฮดจ์ฟันด์ Pershing Square ได้กลายเป็นผู้สนับสนุนคนสำคัญของทรัมป์จากพรรครีพับลิกันในเดือนกรกฎาคม 2024 ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยหนุนหลังพรรคเดโมแครต ทำให้การออกมาแสดงจุดยืนของเขาถูกมองว่าเป็นแรงสนับสนุนจากภาคธุรกิจที่มีน้ำหนักในเชิงเลือกตั้ง
แอ็กแมนยังได้กล่าวอีกว่า ทรัมป์ ได้เปิด ‘สงครามเศรษฐกิจกับทั้งโลกในคราวเดียว’ ซึ่งเสี่ยงต่อการทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อสหรัฐฯ เขายังระบุด้วยว่า ผู้นำสหรัฐฯ ตอนนี้มีโอกาสในการขอพักเวลา 90 วัน เพื่อเจรจาและแก้ไขข้อตกลงภาษีที่ไม่เป็นธรรมและไม่สมดุล และดึงดูดการลงทุนใหม่หลายล้านล้านดอลลาร์เข้าสู่ประเทศสหรัฐฯ
ซีอีโอหลายรายมองเศรษฐกิจสหรัฐฯ ‘ถดถอย’ แล้ว
แลร์รี ฟิงก์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท BlackRock Inc. กล่าวว่า ซีอีโอส่วนใหญ่ที่เขาพูดคุยด้วยเชื่อว่าสหรัฐฯ กำลังอยู่ในภาวะเศรษฐกิจถดถอย (recession) พร้อมเตือนว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจร่วงลงได้อีก หากนโยบายภาษีของประธานาธิบดี ทรัมป์ยังคงสร้างความปั่นป่วนให้เศรษฐกิจโลก
ฟิงก์ วัย 72 ปี กล่าวในการให้สัมภาษณ์ที่งาน Economic Club of New York เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า “เศรษฐกิจกำลังอ่อนแอลงในขณะนี้” โดยเสริมว่าเขาคาดว่าจะเห็นการชะลอตัวของเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้า
ฟิงก์ยังกล่าวว่าอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มจะสูงต่อไป ซึ่งทำให้เขาสงสัยว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะสามารถลดดอกเบี้ยได้หลายครั้งในปีนี้ โดยยกตัวอย่างความกังวลที่พุ่งสูงขึ้นว่า เขาได้รับรายงานจากผู้บริหารสายการบินเกี่ยวกับการลดลงของความต้องการเดินทางแล้ว ฟิงก์กล่าวว่า “ซีอีโอส่วนใหญ่ที่ผมคุยด้วยบอกว่า พวกเขาเชื่อว่าเรากำลังอยู่ในภาวะเศรษฐกิจถดถอยแล้ว”
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นทั่วโลกถูกเทขายอย่างหนักในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยสูญเสียมูลค่าไปเป็นหลายล้านล้านดอลลาร์ หลังทรัมป์เปิดเผยมาตรการภาษีชุดใหม่ นักลงทุนพากันหนีจากสินทรัพย์เสี่ยง หันไปถือพันธบัตรเพื่อความปลอดภัย และคาดการณ์ว่า Fed อาจต้องลดดอกเบี้ยเพื่อตอบรับแรงสั่นสะเทือนทางเศรษฐกิจครั้งนี้
ฟิงก์กล่าวว่า ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มอ่อนค่าลงและการบริโภคอาจลดลง เนื่องจากผู้บริโภคและเศรษฐกิจโดยรวมปรับตัวเข้ากับระดับภาษีศุลกากร ในระยะยาว ฟิงก์คิดว่าทรัมป์จะมุ่งเน้นไปที่วาระการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ตลาดยังคงผันผวนอย่างหนักในวันจันทร์ ขณะที่ดัชนี VIX หรือที่รู้จักกันว่า ‘ดัชนีความกลัว’ พุ่งขึ้นแตะระดับยุคโควิด-19 โดยไดมอนเตือนว่า หากไม่มีการแก้ไขสถานการณ์อย่างรวดเร็วอาจนำไปสู่ “การแตกแยกที่เลวร้าย” ของพันธมิตรเศรษฐกิจระยะยาวของสหรัฐฯ
อ้างอิง: