ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ออกมาเตือนว่า สหรัฐฯ อาจต้องเผชิญหายนะทางเศรษฐกิจและการเลิกจ้างครั้งใหญ่ถึง 780,000 ตำแหน่ง หากเสียงของพรรครีพับลิกันในสภาคองเกรส ไม่ยอมโหวตยกระดับเพดานหนี้ของรัฐบาลให้ทันเวลา ซึ่งจะนำไปสู่การผิดนัดชำระหนี้
ระหว่างการแถลงข่าวที่ทำเนียบขาวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ไบเดนได้พูดถึงตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ในเดือนล่าสุด ที่ออกมาสูงถึง 253,000 ตำแหน่ง มากกว่าที่ตลาดคาดการณ์เอาไว้ที่ 180,000 ตำแหน่งค่อนข้างมาก โดยตัวเลขที่ออกมาส่งผลให้อัตราการว่างงานของสหรัฐฯ ปรับลดลงไปอยู่ที่ระดับ 3.4% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 1969
อย่างไรก็ดี ไบเดนระบุว่า ภาวะที่น่ายินดีเช่นนี้จะหายไปหากพรรครีพับลิกันไม่ยอมโหวตยกระดับเพดานหนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯ ให้ทันเวลา ซึ่งจะนำไปสู่หายนะทางเศรษฐกิจ โดยไบเดนได้อ้างอิงข้อมูลจาก Moody’s ที่ระบุว่า หากสหรัฐฯ ต้องผิดนัดชำระหนี้จะทำให้มีคนตกงานในประเทศถึง 780,000 คน
“สิ่งสุดท้ายที่เราต้องการคือ วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดจากความจงใจที่จะทำให้มันเกิดขึ้น พวกรีพับลิกันพยายามใช้เรื่องเพดานหนี้และการผิดนัดชำระหนี้เป็นตัวประกัน เพื่อให้เราตัดลดงบประมาณที่อาจสร้างความเสียหายให้กับประเทศในมุมมองของเรา” ไบเดนระบุ
ย้อนกลับไปในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ภาระหนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯ ได้พุ่งชนเพดานที่ 31.4 ล้านล้านดอลลาร์ ทำให้กระทรวงการคลังต้องประกาศใช้มาตรการพิเศษ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดกรณี ‘ผิดนัดชำระหนี้’ ของรัฐบาลกลาง โดยพรรครีพับลิกันซึ่งครองเสียงข้างมากในสภาล่าง ประกาศชัดว่า จะใช้เรื่องนี้เป็นเกมต่อรองทางการเมือง ขณะที่ฝั่งเดโมแครตยังยืนกรานไม่ยอมเจรจาด้วย
ในอดีตการขยายเพดานหนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯ ถือเป็นเรื่องปกติ เพราะไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลจากฝั่งเดโมแครตหรือรีพับลิกัน ต่างก็กู้เงินมาชดเชยการขาดดุลงบประมาณกันทั้งคู่ แต่ในระยะหลังมานี้ประเด็นเพดานหนี้ได้ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในเกมการเมือง
โดยพรรครีพับลิกัน ซึ่งมีเสียงส่วนใหญ่ในสภาล่าง พยายามต่อรองให้รัฐบาลเดโมแครตปรับลดงบประมาณรายจ่ายลงครั้งใหญ่ เพื่อแลกกับการขยายเพดานหนี้ โดยโจมตีว่า การใช้จ่ายงบประมาณของรัฐบาลเดโมแครตในปัจจุบันกำลังจะทำให้สหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะล้มละลาย พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้มีวินัยทางการคลังมากขึ้น
ขณะที่ฝั่งเดโมแครตก็สื่อสารว่า ไม่ต้องการที่จะต่อรองใดๆ และโจมตีกลับว่า การนำเพดานหนี้มาเป็นเครื่องต่อรองทางการเมือง ได้สร้างผลเสียต่อเศรษฐกิจของประเทศมาแล้วในอดีต และยังมีความเสี่ยงที่จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปัจจุบัน ซึ่งก็ไม่ได้ดูสดใสอยู่แล้ว เข้าสู่ภาวะถดถอยแบบจมลึกลงไปอีก
ในยุคของประธานาธิบดีทรัมป์ สภาครองเกรสได้โหวตให้ขยายเพดานหนี้โดยไม่มีเงื่อนไขถึง 3 หน ขณะที่ในยุคของโอบามาก็มีการโหวตให้ขยายเพดานหนี้ก่อนครบกำหนดการผิดนัดชำระได้ก่อนถึงเส้นตายอย่างฉิวเฉียด
ในสัปดาห์หน้า ไบเดนมีกำหนดจะเข้าหารือกับผู้นำระดับสูงของพรรครีพับลิกัน เพื่อหาข้อตกลงในการขยายเพดานหนี้ โดยเขาคาดหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะสามารถบรรลุข้อตกลงระหว่างกันได้ด้วยดี
“เราสามารถถกเถียงกันได้ว่างบประมาณส่วนใดควรถูกลดทอน ส่วนใดควรต้องเพิ่มขึ้น รวมถึงการปรับปรุงระบบจัดเก็บภาษีให้มีความยุติธรรม แต่การเจรจาต้องไม่อยู่ภายใต้การข่มขู่ว่าจะทำให้รัฐบาลผิดนัดชำระหนี้” ไบเดนกล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- โจ ไบเดน เพิ่มแรงกดดันต่อรัสเซีย จ่อขึ้นภาษี 200% สำหรับอะลูมิเนียมทุกประเภทที่ผลิตในรัสเซีย
- โจ ไบเดน ยกตัวเลขจ้างงานเดือน ม.ค. ที่แตะ 5.17 แสนตำแหน่ง เป็น ‘ผลงานชิ้นเอก’ ของรัฐบาล
- รัฐบาล โจ ไบเดน ทุ่มเกือบ 3 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มผลผลิตแร่ธาตุสำหรับผลิตแบตเตอรี่ EV
อ้างอิง: