ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ลงนามชุดคำสั่งพิเศษล่าสุด เพื่อรับมือปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและปัญหาสิ่งแวดล้อม ซึ่งรวมถึงการระงับเซ็นสัญญาเช่าที่ดินรัฐฉบับใหม่ เพื่อขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ตลอดจนตัดลดเงินอุดหนุนเชื้อเพลิงประเภทฟอสซิล
ขณะที่เขายังสนับสนุนให้เพิ่มการจ้างงานจากนโยบายสีเขียว ซึ่งสวนทางความเห็นนักวิจารณ์ที่มองว่า วิกฤตสภาพอากาศแปรปรวนจะทำให้ประชาชนตกงานมากขึ้น แต่ไบเดนบอกว่า เมื่อพูดถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ เขากลับนึกถึงการสร้างงานให้ชาวอเมริกันนับล้าน ทั้งจากการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน ด้านคมนาคม และการปรับปรุงระบบน้ำให้ทันสมัย เพื่อพร้อมรับมือผลกระทบจากวิกฤตสภาพอากาศ
นอกจากนี้ ไบเดนยังแต่งตั้งตำแหน่งที่ปรึกษาด้านสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ เพื่อเป็นหัวหอกในนโยบายสภาพภูมิอากาศของทำเนียบขาว ซึ่งการใช้อำนาจของไบเดนในฐานะประธานาธิบดีครั้งนี้ เป็นการยืนยันให้เห็นว่า ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศจะเป็นประเด็นหลักในนโยบายบริหารของเขา
สำหรับคำสั่งพิเศษดังกล่าวจะสั่งการตรงไปยังกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้ระงับการเซ็นสัญญาเช่าที่ของรัฐ ทั้งบนบกและในน้ำของรัฐเพื่อการขุดเจาะพลังงาน อีกทั้งยังทบทวนสัญญาเช่าที่มีอยู่ แต่คำสั่งนี้จะไม่มีผลต่อที่ดินที่ถือครองโดยเอกชน หรือรัฐวิสาหกิจ
ขณะที่ไบเดนตั้งเป้าลดการขุดเจาะพลังงานในที่ดินรัฐ และผืนน้ำในมหาสมุทรลง อย่างน้อย 30% ภายในปี 2030 เพื่อคุ้มครองสัตว์ป่าและสัตว์น้ำ รวมถึงเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมเป็น 2 เท่า
ทั้งนี้ จากข้อมูลของ The New York Times พบว่าการขุดเจาะเชื้อเพลิงฟอสซิลในที่ดินของรัฐ นั้นมีส่วนส่งผลต่อการแพร่กระจายของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ สูงถึงเกือบ 1 ใน 4 ของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่แพร่กระจายทั่วสหรัฐฯ
ขณะที่นโยบายของไบเดนนั้นสวนทางกับนโยบายของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มุ่งผ่อนคลายกฎระเบียบและการตรวจสอบด้านสิ่งแวดล้อม
“ในมุมมองของผม เรารอคอยนานเกินไปแล้ว กับการรับมือวิกฤตสภาพอากาศครั้งนี้” ไบเดนกล่าวหลังการลงนามที่ทำเนียบขาว พร้อมชี้ว่าสหรัฐฯ กำลังเผชิญภัยคุกคามจากภัยธรรมชาติ ทั้งพายุ ไฟป่า น้ำท่วม และภัยแล้งที่รุนแรงขึ้น ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับปัญหาสภาพอากาศแปรปรวน และมองว่า ‘ถึงเวลาต้องดำเนินการแล้ว’
ภาพ: Mandel Ngan / AFP
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
อ้างอิง: