ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐอเมริกา เผยกับสื่อมวลชนวานนี้ (5 มกราคม) ว่าเขาตั้งใจจะไปเยือนชายแดนสหรัฐฯ และเม็กซิโก ในช่วงสัปดาห์หน้า หลังจากที่เดินทางไปประชุมสุดยอดผู้นำอเมริกาเหนือที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 9-10 มกราคมนี้
ไบเดนกล่าวว่า “นี่เป็นความตั้งใจของผม ผมกำลังศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมอยู่” ซึ่งการเดินทางเยือนชายแดนของไบเดนในครั้งนี้จะเป็นการเยือนชายแดนติดกับเม็กซิโกครั้งแรกนับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับที่เจ้าหน้าที่กำลังจัดการวิกฤตผู้อพยพ และปัญหาในระบบการตรวจคนเข้าเมือง ที่ถูกฝ่ายบริหารมองว่าล้มเหลว
สำนักข่าว CNN รายงานเมื่อช่วงเช้าวันที่ 4 มกราคมที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่น โดยอ้างแหล่งข่าวใกล้ชิดว่า ทำเนียบขาวกำลังชั่งน้ำหนักว่าไบเดนอาจเพิ่มจุดแวะเยือนชายแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโก ภายหลังจากการประชุมสุดยอดผู้นำอเมริกาเหนือจบสิ้นลง
ก่อนหน้านี้ทำเนียบขาวต่อต้านเสียงเรียกร้องจากพรรครีพับลิกันในเรื่องการเยือนชายแดนของไบเดนตลอด 2 ปีที่ผ่านมา แต่หลังผ่านไปหลายสัปดาห์ภายหลังการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวก็เริ่มแย้มถึงความเป็นไปได้ในในการผลักดันกฎหมายว่าด้วยผู้อพยพในรัฐสภาที่เสียงแตก ซึ่งความพยายามที่จะยกเครื่องกฎหมายอาจต้องต่อสู้กันอย่างหนัก
ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา กฎหมายผู้อพยพของพรรครีพับลิกันที่ผลักดันโดย ทอม ทิลลิส วุฒิสมาชิกแห่งรัฐนอร์ทแคโรไลนา และ เคียร์สเตน ซีนีมา วุฒิสมาชิกแห่งรัฐแอริโซนา ประสบความล้มเหลวหลังจากได้รับการสนับสนุนจากพรรครีพับลิกันเพียงเล็กน้อย กรอบข้อตกลงดังกล่าวจะขยายการคุ้มครองผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารซึ่งถูกพามายังสหรัฐฯ ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก และขยายการใช้นโยบายชายแดนที่เข้มงวดในยุคโดนัลด์ ทรัมป์
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายบริหารก็ไม่ละความพยายาม ยังคงเรียกร้องให้สภาคองเกรสหาทางออกหลายครั้ง ในขณะที่ต้องรับมือกับการอพยพอีกจำนวนมากที่หลั่งไหลเข้ามา
ด้าน อเลฮานโดร มายอร์กาส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐฯ ยอมรับว่าจำนวนผู้อพยพที่อยู่บริเวณชายแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโก ทำให้ระบบการทำงานตึงเครียด แต่ทางกระทรวงก็สามารถจัดการปัญหาได้ ซึ่งขณะนี้ทางกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิกำลังเตรียมพร้อมหลังการสิ้นสุดการบังคับใช้ ‘มาตรา 42’ ซึ่งเป็นมาตรการสกัดโรคระบาดโควิดในยุคของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่อนุญาตให้ทางการปฏิเสธผู้อพยพที่ชายแดนทางตอนใต้ของสหรัฐฯ ได้ แต่การสิ้นสุดของคำสั่งดังกล่าวถูกระงับไว้ตามคำสั่งของศาลสูง
ภาพ: Drew Angerer / Getty Images
อ้างอิง: