ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เดินหน้าปรับเปลี่ยนนโยบายที่รัฐบาลสหรัฐฯ ดำเนินมาในช่วงหลายปีก่อนหน้านี้ โดยเมื่อวานนี้ (4 กุมภาพันธ์) เขาประกาศว่า “อเมริกาได้กลับมาแล้ว” โดยเขาจะให้ความสำคัญกับการทูตในนโยบายต่างประเทศ ซึ่งหนึ่งในนโยบายสำคัญคือการยุติสนับสนุนปฏิบัติการทางทหารเชิงรุกของซาอุดีอาระเบียในเยเมน
นอกจากบทบาทในเยเมนแล้ว ไบเดนยังประกาศแผนเปิดทางให้ผู้อพยพเดินทางมาสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น และย้ำจุดยืนสนับสนุนสิทธิของกลุ่มหลากหลายทางเพศ หรือ LGBTQ ทั่วโลก ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่าเขาจะหลีกหนีจากนโยบาย ‘อเมริกาต้องมาก่อน’ (Ameria First) ของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และไปให้ความสำคัญกับนโยบายต่างประเทศมากขึ้น
ไบเดนกล่าวว่า ความท้าทายที่ทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ในเวลานี้สามารถแก้ไขได้โดยการที่นานาชาติทำงานร่วมกัน ซึ่งรวมถึงการต่อต้านเผด็จการที่กำลังขยายตัว
“เราไม่สามารถทำได้โดยลำพัง เราต้องเริ่มจากการทูตที่มีรากฐานมาจากคุณค่าประชาธิปไตยที่อเมริกาหวงแหนมากที่สุด ปกป้องเสรีภาพ สนับสนุนโอกาส รักษาสิทธิสากล เคารพหลักนิติธรรม และปฏิบัติต่อทุกคนด้วยศักดิ์ศรี” ไบเดนกล่าว
“ถึงแม้ค่านิยมมากมายเหล่านี้จะตกอยู่ภายใต้แรงกดดันที่เข้มข้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่คนอเมริกันจะก้าวขึ้นมาจากช่วงเวลานี้ด้วยความมุ่งมั่นมากขึ้น และมีความพร้อมมากขึ้นในการผนึกกำลังกับประชาคมโลกเพื่อปกป้องประชาธิปไตย”
อีกสิ่งหนึ่งที่ทั่วโลกจับตาคือท่าทีของไบเดนต่อสถานการณ์ในเมียนมา หลังเกิดเหตุรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลพลเรือนโดยกองทัพ ซึ่งผู้นำสหรัฐฯ ยืนยันว่าเขาจะทำงานร่วมกับชาติพันธมิตรในการคว่ำบาตรเมียนมา
ไบเดนเผยว่า เขาได้ประสานกับ ส.ว. มิตช์ แมคคอนเนลล์ ผู้นำรีพับลิกันในวุฒิสภา เพื่อหารือเกี่ยวกับมาตรการตอบโต้ที่เห็นพ้องร่วมกันระหว่างสองพรรค เพื่อกดดันให้กองทัพเมียนมาคืนประชาธิปไตยให้ประชาชน พร้อมปล่อยตัวนักเคลื่อนไหวและผู้นำพลเรือน รวมถึง ออง ซาน ซูจี
ภาพ: Doug Mills-Pool / Getty Images
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
อ้างอิง: