ราคาหุ้น GPSC และ BGRIM ร่วงลงต่ำสุดในรอบกว่า 7 ปี หลัง ‘ทักษิณ’ ให้สัมภาษณ์ว่าอยากเห็นค่าไฟฟ้าลดลงเหลือ 3.7 บาทต่อหน่วย
ราคาหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าวันนี้ (6 มกราคม) ส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง โดยเฉพาะหุ้นของ บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) และ บมจ.บี.กริม เพาเวอร์ (BGRIM) ที่ปรับตัวลดลงกว่า 7% ทำจุดต่ำสุดใหม่ในรอบกว่า 7 ปี
ส่วนราคาหุ้นโรงไฟฟ้าอื่นๆ ในกลุ่ม (ณ เวลา 15.10 น.) เช่น บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) ลดลง 1.25%, บมจ.ผลิตไฟฟ้า (EGCO) ลดลง 1.30%, บมจ.ราช กรุ๊ป (RATCH) ลดลง 1.71%, บมจ.บ้านปู เพาเวอร์ (BPP) ลดลง 2.91% และ บมจ.ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ (WHAUP) ลดลง 4.74%
ทั้งนี้ ปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้ามาจากการให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยมีใจความสำคัญว่า อยากจะเห็นอัตราค่าไฟฟ้าลดลงไปต่ำกว่า 4 บาทต่อหน่วย และคิดว่าประมาณ 3.7 บาทต่อหน่วย น่าจะเป็นระดับที่เหมาะสม
ความเห็นของทักษิณยังสอดคล้องกับความเห็นของ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่ต้องการลดราคาพลังงานในประเทศ
ภาดล วรรณรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า สำหรับ GPSC และ BGRIM ที่ปรับตัวลงแรงกว่า 7% มากที่สุดในกลุ่ม เป็นเพราะมีสัดส่วนรายได้จากโรงไฟฟ้าประเภท SPP มากที่สุด ซึ่งจะได้รับผลกระทบมากที่สุดหากค่าไฟฟ้าถูกปรับลดลงไปเหลือ 3.7 บาทต่อหน่วย
ซึ่งหากค่าไฟฟ้าถูกปรับลดลงสู่ระดับ 3.7 บาทต่อหน่วย จะกระทบต่อกำไรของทั้ง GPSC และ BGRIM ราว 15-20%
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องติดตามคือฝั่งต้นทุน เพราะข้อมูลที่ออกมาเป็นการพูดถึงเฉพาะฝั่งค่าไฟฟ้า ซึ่งเป็นรายได้ของธุรกิจ แต่ยังไม่ได้กล่าวถึงต้นทุนการซื้อก๊าซธรรมชาติจากภาครัฐ ซึ่งในส่วนนี้รัฐบาลอาจให้การชดเชยบางส่วนกับเอกชน
ภาดลกล่าวต่อว่า นอกจากผลกระทบต่อหุ้นโรงไฟฟ้าส่วนใหญ่แล้ว วันนี้จะเห็นว่าราคาหุ้นของ บมจ.บีซีพีจี (BCPG) กลับปรับตัวขึ้นราว 6% เป็นผลจากการที่นักลงทุนโยกย้ายเงินลงทุนจากหุ้นโรงไฟฟ้าอื่นมาหาหุ้นโรงไฟฟ้าที่ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด
BCPG เป็นหุ้นโรงไฟฟ้าที่มีสัดส่วนหลักของ EBITDA จากโรงไฟฟ้าในสหรัฐฯ ราว 40% และมีรายได้จากโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนเป็นหลัก ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบหากภาครัฐปรับนโยบายค่าไฟฟ้าจริง
ภาพ: Valazarus-Studio / Shutterstock