Best Buy ร้านค้าจำหน่ายผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าในสหรัฐอเมริกาประกาศเตรียมยุติการวางจำหน่ายแผ่นซีดีบนแผงวางสินค้าในเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้ สาเหตุมาจากความนิยมของผู้บริโภคที่เสื่อมถอยลง และความสะดวกสบายของการใช้งานสตรีมมิงมิวสิก ขณะที่สินค้าอย่างแผ่นเสียงไวนิลยังคงได้วางขายต่อไป
วันที่ 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เว็บไซต์ Billboard เปิดเผยว่า Best Buy ในฐานะหนึ่งในบริษัทผู้ค้าผลิตภัณฑ์ด้านการฟังเพลงที่ทรงอิทธิพลที่สุดในสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศเตรียมเลิกขายแผ่นซีดีเพลงในช่วงกลางปีนี้ หลังจากที่ยอดขายแผ่นซีดีเพลงในสหรัฐอเมริกาตลอดปี 2017 ที่ผ่านมาตกลงอย่างน่าใจหายกว่า 18.5% ขณะที่บริษัทผลิตแผ่นซีดีสามารถทำรายได้รวมตลอดทั้งปีอยู่ที่ 40 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1.26 พันล้านบาทเท่านั้น (รายได้รวมของผู้ประกอบการทุกราย)
อย่างไรก็ดี Best Buy จะยังคงจำหน่ายแผ่นเสียงต่อไปอย่างน้อยที่สุด 2 ปี เพื่อรักษาพันธสัญญาที่ได้ให้ไว้กับผู้ขาย ซึ่งว่ากันว่าปี 2017 ที่ผ่านมานี้ถือเป็นหนึ่งในปีทองของแผ่นไวนิลในสหรัฐอเมริกาเลยก็ว่าได้ เพราะยอดขายแผ่นไวนิลหนึ่งอัลบั้มจะนับเป็นสัดส่วน 14% ของยอดขายอัลบั้มเพลง เพิ่มขึ้นจากปี 2016 กว่า 11% และยังสามารถจำหน่ายไปได้มากกว่า 14.32 ล้านแผ่นในสหรัฐอเมริกา
ด้านเชนสโตร์ ‘Target’ ก็เป็นผู้ประกอบการอีกรายที่กำลังจะเดินตามรอย Best Buy ด้วยนโยบายเสนอจ่ายเงินให้กับผู้จัดจำหน่ายแผ่นซีดีภายใน 60 วันที่สินค้าถูกจำหน่ายออกไปเท่านั้น ส่วนฝั่งผู้จัดจำหน่ายก็จะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่งสินค้าที่ขายไม่ออกกลับบริษัทด้วยตัวเอง โดย Target จะจ่ายเงินล่วงหน้าให้ก่อนไม่ว่ากรณีใดทั้งสิ้น และกฎนี้จะเตรียมใช้ระหว่างเดือนเมษายนและพฤษภาคมปี 2018
อย่างไรก็ดี ในรายงานไม่ได้มีการเอ่ยถึงแผ่นดีวีดีภาพยนตร์แต่อย่างใด แต่การที่เชนสโตร์ชื่อดังทั้ง 2 แห่งในสหรัฐอเมริกาประกาศนโยบายงดขายแผ่นซีดีเพลงเช่นนี้ย่อมสะท้อนให้เห็นว่าอุตสาหกรรมความบันเทิงกำลังถูกสื่อดิจิทัล-สตรีมมิงต้อนจนมุมในทุกมิติและทุกขณะวินาทีแล้ว
อ้างอิง:
