หลายคนที่ติดตามข่าวสารวงการแฟชั่นจะรู้ดีกันว่าทุกวันนี้แบรนด์ลักชัวรีแฟชั่นอันดับ 1 ของโลกอย่าง Louis Vuitton อยู่ภายใต้บริษัท LVMH ที่มี Bernard Arnault หนึ่งในบุคคลที่ร่ำรวยสุดของโลกเป็นเจ้าของและซีอีโอ แต่ในขณะเดียวกันหลายคนก็อาจจะไม่รู้ว่าที่จริงแล้วครอบครัวสายเลือดตรงของผู้ก่อตั้งแบรนด์ Louis Vuitton ก็ยังคงมีชีวิตอยู่และไม่ได้ถูกเพิกเฉยไม่ให้มีบทบาทสำคัญในแบรนด์แล้ว
เหมือนกับ Benoit-Louis Vuitton ทายาทรุ่นที่ 6 ของผู้ก่อตั้งแบรนด์ Louis Vuitton ที่ทุกวันนี้รับตำแหน่ง Corporate Director of Art, Culture and Patrimony ของแบรนด์ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1854 โดยเขาจะเป็นคนดูแลและช่วยสื่อสารเรื่องราวประวัติและความมาของ Louis Vuitton รวมถึงดูแลบ้านพักของครอบครัวที่ย่าน Asnières ใกล้กรุงปารีส ซึ่ง Benoit-Louis Vuitton ได้อาศัยอยู่จนถึงอายุ 7 ปี ก่อนที่จะถูกแปลงให้เป็นพิพิธภัณฑ์และสถานที่จัดงานสำคัญของแบรนด์ แถมที่ Asnières ก็เป็นที่ที่ Louis Vuitton เองได้ตัดสินใจมาเปิดโรงงานเวิร์กช็อปผลิตสินค้างานฝีมือที่สำคัญสุดของแบรนด์เมื่อปี 1859 ซึ่งก็ยังมีอยู่จนถึงทุกวันนี้
ล่าสุด THE STANDARD POP ได้ร่วมเดินทางไปประเทศสิงคโปร์เพื่อไปร่วมชมงานนิทรรศการ ‘200 TRUNKS, 200 VISIONARIES: THE EXHIBITION’ ณ Marina Bay Sands พร้อมกับได้สัมภาษณ์เอ็กซ์คลูซีฟกับ Benoit-Louis Vuitton ที่โรงแรม Fullerton Bay Hotel แบบเป็นกันเองก่อนที่เขาจะเดินทางกลับปารีส
ด้านหน้านิทรรศการ ‘200 TRUNKS, 200 VISIONARIES: THE EXHIBITION’ ที่สิงคโปร์
คุณคิดว่านิทรรศการ ‘200 TRUNKS, 200 VISIONARIES: THE EXHIBITION’ ช่วยบอกเล่าเรื่องราวของแบรนด์ Louis Vuitton ได้ดีไหม
ผมคิดว่านิทรรศการนี้ดีมาก เพราะเราได้เลือก 200 ศิลปินและนักสร้างสรรค์จากหลากหลายแวดวงให้มาดีไซน์ตัวหีบในงาน ซึ่งหลายคนก็ได้ดีไซน์บนตัวหีบจริงๆ ของ Louis Vuitton ที่ทำมาจากไม้และก็ได้ใช้อุปกรณ์แบบดั้งเดิมด้วยเพื่อที่จะได้เข้าใจดีเอ็นเอของแบรนด์และความพิเศษของตัวหีบที่ไม่เหมือนใคร และนำความคิดสร้างสรรค์ของตัวเองมาตีความและแทรกลงไป
แถมผมคิดว่านิทรรศการนี้จะช่วยทำให้เห็นถึงคุณค่าและความสำคัญที่ Louis Vuitton ได้ยืนหยัดมาตลอด นั่นก็คือการให้เกียรติเรื่องรากฐานและความเป็นมาของแบรนด์ แต่ก็พยายามที่จะเดินหน้าและนำนวัตกรรมใหม่ๆ มาใส่ในชิ้นงานอยู่เสมอเพื่อสะท้อนความเป็นยุคปัจจุบัน
หีบดีไซน์โดย Jean-Michel Othoniel
หีบอันไหนที่คุณชอบเป็นพิเศษในนิทรรศการนี้
ผมชอบหลายอันเลย และผมก็โชคดีที่ได้เจอศิลปินบางท่านด้วยและเข้าใจถึงมุมมองของพวกเขาต่อโปรเจ็กต์นี้ โดยหีบที่ผมชอบก็จะมาพร้อม Aesthetic ที่เข้ากับความชอบส่วนตัวของผมและรู้สึกมี Connection ด้วย อย่างเช่นหีบของ (ศิลปินชาวฝรั่งเศส) Jean-Michel Othoniel ก็เป็นหนึ่งในผลงานที่ผมชอบที่สุดเพราะเราได้เคยร่วมงานกันตอนให้เขามาดีไซน์กระเป๋ารุ่น Capucines เวอร์ชันพิเศษ และผมก็ได้ไปทัวร์สตูดิโอเขาด้วย บวกกับสะสมของบางชิ้นที่เขาเคยดีไซน์ โดยหีบของ Jean-Michel Othoniel ผมก็ชอบทั้งรูปทรง ดีไซน์ สี หรือแม้แต่วัสดุที่เขาเอามาเติมแต่ง
ภายในนิทรรศการ ‘200 TRUNKS, 200 VISIONARIES: THE EXHIBITION’ ที่สิงคโปร์
คุณรู้สึกอย่างไรที่สิงคโปร์และทวีปเอเชียเป็นสถานที่แรกต่อจากประเทศฝรั่งเศสที่ได้มาจัดนิทรรศการนี้
มัน Make Sense มากที่เราจัดนิทรรศการนี้ครั้งแรกที่ Asnières ประเทศฝรั่งเศส เพราะมันคือสถานที่เวิร์กช็อปแห่งแรกของแบรนด์ Louis Vuitton แต่ถ้าให้พูดตามตรง พื้นที่ของ Asnières ค่อนข้างจำกัดและทำอะไรไม่ได้มาก ซึ่งการที่เราสามารถเคลื่อนย้ายและเอานิทรรศการนี้ไปแสดงทั่วโลกก็ช่วยให้เรามีพื้นที่มากขึ้นและลองทำอะไรใหม่ๆ ที่แตกต่าง อย่างเช่นของที่สิงคโปร์ ผมก็ได้ไปดูวันก่อนและได้เห็นมุมมองใหม่ๆ เกี่ยวกับนิทรรศการที่ไม่ได้เห็นมาก่อน ซึ่งผมก็หวังว่าจะสามารถดึงดูดผู้คนและลูกค้าใหม่ๆ ให้มาดู โดยเฉพาะในช่วงที่สถานการณ์ของโลกยังไม่ปกติและการจะเดินทางไปยังทวีปอย่างยุโรปหรืออเมริกาอาจยังลำบากอยู่สำหรับหลายคน
Louis 200 Maison
ในยุคนี้คนรุ่นใหม่ต่างศึกษาเกี่ยวกับแบรนด์ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์เป็นหลัก แต่คุณคิดว่าการมีนิทรรศการแบบนี้สำคัญอย่างไรในการทำให้พวกเขาเข้าใจเรื่องราวของ Louis Vuitton
ผมคิดว่านิทรรศการแบบนี้จะช่วยสร้างภาพลักษณ์ใหม่ไม่มากก็น้อยให้กับ Louis Vuitton และทำให้เห็นถึงด้านความคิดสร้างสรรค์ที่คนอาจไม่ได้เห็นมาก่อน โดยเฉพาะกับคนรุ่นใหม่ที่อาจมอง Louis Vuitton แค่จากมิติเดียว ซึ่งแม้ตัวผมเองจะเป็นทายาทรุ่นที่ 6 ของ Louis Vuitton และรู้เรื่องราวเกี่ยวกับแบรนด์มามากมาย แต่นิทรรศการนี้ก็ทำให้ผมเห็นว่าแบรนด์ Louis Vuitton ยังคงสามารถโมเดิร์นได้ขนาดไหน ซึ่งจะเห็นได้จากพวกการเล่นกับแอนิเมชันหรือกราฟิกในงาน
มากไปกว่านั้น ผมคิดว่าคนรุ่นใหม่บางคนอาจยังเกรงกลัวที่จะเข้าร้าน Louis Vuitton หรือเคยไปมาแล้วแต่ยังไม่รู้สึกคลิกกับแบรนด์ แต่กับนิทรรศการนี้ก็อาจจะช่วยเปลี่ยนมุมมองพวกเขาได้ และทำให้เห็นไม่ใช่แค่เปลือกนอกอย่างเดียวเกี่ยวกับตัวแบรนด์ แต่เรื่องราวอีกมากมาย
Virgil Abloh
เมื่อปลายปีที่แล้วเราได้สูญเสีย Virgil Abloh ไป คุณคิดว่าเขามีความสำคัญต่อแบรนด์ Louis Vuitton ยังไงบ้าง
Michael Burke ซีอีโอของ Louis Vuitton เคยบอกผมว่า Virgil คือ Louis Vuitton ของศตวรรษนี้ เพราะเขาเปี่ยมไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งเหมือนกับดีไซเนอร์ทุกคนที่เคยได้ทำงานที่ Louis Vuitton ทาง Virgil ก็สามารถเข้าใจถึงประวัติความเป็นมาของแบรนด์ได้อย่างถี่ถ้วน แต่ก็สามารถปรับเปลี่ยนให้ผลงานเข้ากับยุคสมัยปัจจุบันได้อย่างลงตัว โดยผมยอมรับว่าตอนแรกที่มีการประกาศว่าเขาจะเข้ามาทำงานที่แบรนด์ผมก็เซอร์ไพรส์มาก แต่พอได้เห็นและซื้อสินค้าที่ Virgil ดีไซน์ ผมก็เข้าใจถึงความพิเศษในตัวเขาที่สามารถรังสรรค์ไอเท็มที่แม้อาจดูง่าย ดูแคชชวล แต่มันก็มีเอกลักษณ์และมีดีเทลที่น่าจดจำ ซึ่งไม่ใช่แค่เด็กรุ่นใหม่ที่ผมคิดว่าหลงรักกับผลงานเขา แต่ผมเองก็ติดใจเหมือนกัน
ช่างฝีมือ Louis Vuitton ที่เวิร์กช็อป ณ Asnières
คุณคิดว่าคุณค่าของแบรนด์ Louis Vuitton อยู่ตรงไหน
ผมคิดว่าที่ Louis Vuitton เราทำสินค้าที่ยังยกย่องและบ่งบอกถึงรากฐานความเป็นมาของแบรนด์ แต่ในขณะเดียวกันยังสามารถสะท้อนความต้องการของผู้คนสมัยนี้ที่ต้องการสินค้าลักชัวรีที่ใช้ได้จริงและตอบโจทย์เรื่องไลฟ์สไตล์ในชีวิตประจำวัน แถมมันก็เกี่ยวกับคุณภาพของสินค้าด้วย ที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนตัวสินค้าก็ยังมีความพิเศษอยู่ ซึ่งผมคิดว่านั่นคือเหตุผลที่ทำไมลูกค้าถึงยังกลับมาซื้อ Louis Vuitton อยู่เสมอ
ช่างฝีมือ Louis Vuitton ที่เวิร์กช็อป ณ Asnières
อีก 200 ปี คุณคิดว่าแบรนด์ Louis Vuitton จะอยู่จุดไหน
ถ้าเรายังคงให้เกียรติถึงรากฐานของตัวเองและเดินหน้าพัฒนาตัวเองต่อไปเรื่อยๆ อีก 200 ปี ผมก็คิดว่า Louis Vuitton จะยังคงไม่ไปไหนแน่นอน แต่เราก็ต้องระมัดระวังและจำไว้ว่าสิ่งที่เราปกป้องมาเสมอเกี่ยวกับแบรนด์ ไม่ว่าจะเรื่องราวของคุณภาพ ความคิดสร้างสรรค์ หรือจุดยืน เราก็ต้องปกป้องมันต่อไปเสมอ และห้ามลืมมันไป ไม่ว่าจะอยู่ยุคสมัยอะไรก็ตาม
ภาพ: Louis Vuitton
