บมจ.บีซีพีจี หรือ BCPG ประกาศแผนลงทุน 5 ปี ด้วยงบ 9.5 หมื่นล้านบาท ลุยลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดต่างประเทศ ดันกำลังการผลิตแตะ 2,000 เมกะวัตต์ และแตกไลน์ธุรกิจใหม่เพิ่ม พร้อมวางเป้าหมายรายได้ปี 2565 เติบโตอีก 25% จากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น 100 เมกะวัตต์ ขณะที่ผลการดำเนินงานงวดปี 2564 มีกำไรสุทธิ 2,284 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.6% ด้านบอร์ดมีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลงวด 6 เดือนหลังอีก 0.17 บาทต่อหุ้น เริ่มจ่ายในวันที่ 22 เมษายนนี้
นิวัติ อดิเรก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.บีซีพีจี หรือ BCPG เปิดเผยว่า ความต้องการพลังงานสะอาดทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งสอดคล้องกับธุรกิจหลักของบริษัท จึงจัดสรรงบลงทุนสำหรับ 5 ปีจากนี้ (2565-2569) จำนวน 95,000 ล้านบาท สำหรับลงทุนในประเทศและต่างประเทศ เพื่อขยายโอกาสการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยคาดหวังว่าใน 5 ปีจากนี้ กำลังการผลิตของบริษัทจะเพิ่มเป็น 2,000 เมกะวัตต์ จากสิ้นปี 2564 ที่มีกำลังการผลิต 1,100 เมกะวัตต์
แผนลงทุน 5 ปี จะเน้นขยายการลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดในต่างประเทศ โดยเฉพาะในไต้หวันและจีน ซึ่งบริษัทมองว่ามีโอกาสในการขยายธุรกิจอีกมาก โดยเฉพาะไต้หวันที่มีความต้องการใช้พลังงานสะอาดค่อนข้างสูงในภาคอุตสาหกรรม
นอกจากนี้ BCPG ยังมีแผนขยายธุรกิจใหม่ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจเดิม เพื่อต่อยอดการเติบโต โดยปัจจุบันมี 3 ธุรกิจใหม่ที่อยู่ระหว่างการเริ่มดำเนินการและกำลังพัฒนา ประกอบด้วย
- ธุรกิจ Smart City ซึ่งได้เริ่มดำเนินการไปบ้างแล้วที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
- ธุรกิจ EV Charging Station
- ธุรกิจ Smart Infrastructure
“สัดส่วนรายได้ใน 5 ปีจากนี้ รายได้หลักประมาณ 85-90% ยังมาจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาด ส่วนธุรกิจใหม่ต่างๆ น่าจะสร้างรายได้รวมกันคิดเป็นสัดส่วน 10-15%” นิวัติกล่าว
สำหรับแหล่งเงินทุนมาจากส่วนหนี้และส่วนทุนในอัตรา 3 ต่อ 1 โดยปัจจุบัน BCPG มีต้นทุนทางการเงินอยู่ราว 2.9% จึงยังสามารถกู้จากธนาคารพาณิชย์ได้
วางเป้ารายได้ปี 2565 โตต่ออีก 25%
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการปี 2565 บริษัทวางเป้าหมายรายได้เติบโต 25% จากปี 2564 ที่มีรายได้ 4.6 พันล้านบาท โดยมาจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นอีกราว 100 เมกะวัตต์ ส่งผลให้ทั้งปีนี้จะมีกำลังการผลิตรวม 1,200 เมกะวัตต์ ขณะเดียวกัน ในระยะ 5 ปีจากนี้ บริษัทคาดว่าอีบิทดาจะเพิ่มขึ้น 35% จากสิ้นปี 2564
ผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทในงวดปี 2564 มีรายได้รวมอยู่ที่ 4,669 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.4% เมื่อเทียบปี 2563 ที่มีรายได้รวมเท่ากับ 4,231 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติอยู่ที่ 2,284 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.6% จากปี 2563 ที่มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติเท่ากับ 1,959 ล้านบาท
ขณะที่ผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2564 มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,232 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.4% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้รวมเท่ากับ 1,137 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติอยู่ที่ 583 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.7% จากงวดเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติเท่ากับ 536 ล้านบาท
“สำหรับในภาพรวมของปี 2564 บริษัทยังคงเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง และสามารถดำเนินงานตามแผนที่วางไว้ โดยในไตรมาส 4 ปี 2564 โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ชิบะ ในประเทศญี่ปุ่น กำลังการผลิต 20 เมกะวัตต์ และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กำลังการผลิต 7.7 เมกะวัตต์ ได้เปิดขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ตามกำหนด และรับรู้รายได้ในไตรมาสที่ 4 ปี 2564 รวมทั้งบริษัทยังรับรู้รายได้จากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทยที่เพิ่มขึ้น จากการปรับปรุงประสิทธิภาพแผงโซลาร์” นิวัติกล่าว
บอร์ดไฟเขียวปันผลงวดครึ่งปีหลัง 0.17 บาทต่อหุ้น
พร้อมกันนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2565 ได้อนุมัติจ่ายเงินปันผลสำหรับงวดวันที่ 1 กรกฎาคม – 31 ธันวาคม 2564 หรือครึ่งปีหลัง ในอัตราหุ้นละ 0.17 บาทต่อหุ้น ซึ่งเมื่อรวมเงินปันผลระหว่างกาลที่จ่ายไปแล้วจากผลการดำเนินงานงวดวันที่ 1 มกราคม – 30 มิถุนายน 2564 คิดเป็นเงินปันผลทั้งปี 0.33 บาทต่อหุ้น
กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลและเข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 4 มีนาคม 2565 รายชื่อผู้ถือหุ้นที่ไม่ได้รับสิทธิการจ่ายเงินปันผลและไม่ได้รับสิทธิเข้าประชุมผู้ถือหุ้น ในวันที่ 3 มีนาคม 2565 (XD และ XM) กำหนดจ่ายเงินปันผลสำหรับครึ่งปีหลังในวันที่ 22 เมษายน 2565 ทั้งนี้ บริษัทจะจ่ายเงินปันผลเมื่อได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2565 แล้ว
โดยกำหนดการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2565 ในวันที่ 7 เมษายน 2565 เวลา 13.30 น. ณ อาคารเอ็มทาวเวอร์ ถนนสุขุมวิท
ทั้งนี้ บมจ.บีซีพีจี หรือ BCPG ประกอบธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเป็นผู้ประกอบการและลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และพลังน้ำ ในประเทศไทย ประเทศญี่ปุ่น ประเทศฟิลิปปินส์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม มีกำลังการผลิตรวมประมาณ 1,100 เมกะวัตต์
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
- Twitter: twitter.com/standard_wealth
- Instagram: instagram.com/thestandardwealth
- Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP