บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บางกอกแคปปิตอล (BCAP) ประเมินตลาดหุ้นโลกครึ่งหลังของปี 2565 ยังผันผวนด้วยปัจจัยเสี่ยงยังสูง กดดันการเติบโตของเศรษฐกิจและผลประกอบการ ทั้งเรื่องของการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ยังปรับขึ้นดอกเบี้ยเพื่อคุมเงินเฟ้อ พร้อมกับปรับลดวงเงิน QE แนะนำนักลงทุนกระจายความเสี่ยงในหลากหลายสินทรัพย์ โดยมองว่าตลาดหุ้นจีนและไทยมีความน่าสนใจ เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง มีความเสี่ยงด้านการเมืองระหว่างประเทศน้อย
ธนาวุฒิ พรโรจนางกูร รองกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าสายงานบริหารการลงทุน บลจ.บีแคป กล่าวว่า แม้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะปรับขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่เป็นเพียงการปรับขึ้นช่วงสั้นๆ เท่านั้น เนื่องจากในปีนี้ Fed จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายรวม 2.50-2.75%
“หากเปรียบเทียบเป็นการขับรถถือว่าคนขับกำลังกดแป้นเบรกอย่างหนัก ซึ่งจะทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนปรับลดลงในระยะต่อไป”
แม้ว่าปัจจุบันอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ จะผ่านจุดสูงสุดไปแล้วในเดือนมีนาคม และจะค่อยๆ ปรับลดลงในช่วงที่เหลือของปี แต่ฝ่ายวิจัยเชื่อว่า Fed คงจะยืนยันขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง เพื่อเก็บกระสุน หรือเพื่อสร้างความยืดหยุ่นในการดำเนินนโยบายหากเศรษฐกิจชะลอตัวลงอย่างรุนแรงในอนาคต อีกประเด็นที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดคือการถอนสภาพคล่องออกจากระบบ หรือการทำ Quantitative Tightening (QT)
ธนาวุฒิกล่าวต่อว่า การทำ QT ของสหรัฐฯ จะเริ่มต้นในเดือนมิถุนายนนี้ จำนวน 9.5 แสนล้านดอลลาร์เดือน ทีมผู้จัดการกองทุนประเมินว่าหาก Fed ลดปริมาณเงินดังกล่าวอย่างต่อเนื่องจนถึงปลายปี 2567 จะส่งผลต่องบดุลต่อ GDP ของ Fed ลดลงจาก 37% ในปัจจุบัน เหลือเพียง 20% ซึ่งผลกระทบดังกล่าวมี 2 เรื่องหลัก คือ
1. การชะลอตัวของเศรษฐกิจในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า และ 2. แรงสนับสนุนในการออมเงิน/การลงทุนในตลาดการเงินที่จะลดลง โดยฝ่ายวิจัยมองว่าช่วงต่อไปตลาดหุ้นจะมีความผันผวนมากขึ้น ในขณะที่ผลตอบแทนเฉลี่ยของหุ้นจะลดลงเทียบกับช่วงที่ Fed อัดฉีดสภาพคล่องหลังวิกฤตการเงินในปี 2551 ซึ่งการลงทุนอาจจะใช้ความระมัดระวังที่เพิ่มมากขึ้น
สำหรับช่วงครึ่งหลังของปีฝ่ายวิจัยแนะนำให้เน้นการลงทุนหุ้นในกลุ่มประเทศที่มีมูลค่าพื้นฐานถูก ปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง มีอัตราการเติบโตดี หรือมีความเสี่ยงต่อการเมืองระหว่างประเทศจำกัด คือ ประเทศจีนและไทย
“หลังมีแรงเทขายกดดันราคาหุ้นจีนอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมาเนื่องจากมาตรการล็อกดาวน์ในเมืองสำคัญ เช่น ปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ ทำให้หุ้นจีนมีราคาพื้นฐานที่ถูก เทียบกับทั้งอดีตและประเทศอื่น แต่ล่าสุดมีสัญญาณการเปิดเมืองพร้อมการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาล ทำให้เราประเมินว่าเศรษฐกิจจีนกำลังจะผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 2 นี้ ขณะที่หุ้นไทยอาจจะมีมูลค่าที่ค่อนไปทางแพงเล็กน้อย เนื่องจากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติตั้งแต่ช่วงต้นปี”
ในแง่นโยบายการเงิน ประเทศไทยยังมีแนวโน้มผ่อนคลายเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ และยุโรป อีกทั้งมีแรงส่งจากปัจจัยนอกประเทศ เช่น การส่งออกและนักท่องเที่ยวที่จะกลับมาจากการเปิดประเทศจะเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี อีกทั้งผลกระทบโดยตรงจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน มีค่อนข้างต่ำ จากนโยบายเป็นกลางของไทย นักลงทุนต่างชาติจึงมองเราเป็นหลุมหลบภัย และจะมีกระแสเงินทุนไหลเข้าต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี ดังนั้นการลงทุนในประเทศจีนและไทยน่าจะสร้างผลตอบแทนที่ดีในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP