Barclays สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ ประกาศเข้าลงทุนใน Copper บริษัทด้านคริปโต

แม้ว่าตลาดคริปโตเคอร์เรนซีจะเริ่มซบเซาลงไปมากเมื่อเทียบกับช่วงต้นปีที่ผ่านมา แต่สถาบันการเงินระดับโลกหลายแห่งยังคงกระโดดเข้าสู่ตลาดนี้ต่อเนื่อง ล่าสุด Barclays สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่สัญชาติอังกฤษ ประกาศแผนการเข้าลงทุนใน Copper บริษัทด้านคริปโต ซึ่งคาดว่าจะมีมูลค่าหลายล้านดอลลาร์

สำนักข่าว Sky News รายงานว่า Barclays เป็นหนึ่งในผู้ร่วมลงทุนในบริษัท Copper โดยไม่เปิดเผยมูลค่าการลงทุน แต่มีการคาดการณ์ว่า น่าจะเป็นมูลค่าหลายล้านดอลลาร์ โดยดีลดังกล่าวจะตกลงกันภายในไม่กี่วันข้างหน้านี้

Copper บริษัทแพลตฟอร์มสำหรับคริปโต ให้บริการด้านการดูแลสินทรัพย์ของลูกค้า (Custody), โบรกเกอร์สำหรับสถาบัน (Prime Brokerage) รวมไปถึงดูแลการโอนและชำระหลักทรัพย์ (Settlement Service) แก่สถาบันการเงิน เพื่อให้สามารถลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลได้โดยปลอดภัย

บริษัทดังกล่าวก่อตั้งขึ้นมาในปี 2018 โดย Dmitry Tokarev ทั้งยังมี Venture Capital อย่าง LocalGlobe, Dawn Capital และ MMC เป็นหนึ่งในผู้ร่วมลงทุนในรอบการระดมทุน 50 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1,500 ล้านบาท ณ Series B โดยไม่เปิดเผยมูลค่าบริษัท (Disclosed Valuation)

ต่อมาในช่วงปลายปี 2021 Copper ได้ประกาศระดมทุนไปกว่า 500 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท ในรอบ Series C ณ มูลค่า 3 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 9 หมื่นล้านบาท ก่อนที่ตลาดคริปโตจะเข้าสู่ภาวะตลาดหมี จนทำให้ล่าสุดมูลค่าบริษัทถูกปรับลง (Downround) มาเหลือเพียง 2 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 6 หมื่นล้านบาทเท่านั้นเอง

ซึ่งการที่มูลค่าบริษัทของ Copper ถูกปรับลดระดับลงมานั้น มิใช่เพียงแต่การเข้าสู่ภาวะตลาดหมีของคริปโตเพียงอย่างเดียว หากแต่ยังโดนปัจจัยแวดล้อมอย่างกองทุนเฮดจ์ฟันด์รายใหญ่ในคริปโต Three Arrows Capital และผู้ให้บริการด้านการปล่อยกู้ Celsius ที่เพิ่งประกาศล้มละลายไปในสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อตลาดคริปโตปรับตัวลง และในขณะเดียวกันก็อาจจะเป็นโอกาสสำหรับบริษัทอื่นในการเข้าลงทุนในมูลค่าที่ถูกลง ดังเช่นที่ Barclays ตัดสินใจ

แต่อย่างไรก็ตาม ทาง Copper ก็ยังคงตัดสินใจนำเงินทุนที่มีไปลงทุนร่วมกับ Goldman Sachs สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ของโลกใน Elwood Technologies แพลตฟอร์มเทรดคริปโต ในช่วงกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาในรอบ Series A เป็นจำนวนเงินกว่า 70 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 2.1 พันล้านบาท

อ้างอิง: