ระยะห่าง 15 แต้มในตารางคะแนนลาลีกา และการที่ทีมหนึ่งทะลุเข้าถึงรอบ 8 ทีมยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ขณะที่อีกทีมต้องหล่นลงไปเล่นในรายการยูฟ่ายูโรปาลีก คือความแตกต่างระหว่างเรอัล มาดริดและบาร์เซโลนา ก่อนหน้าที่เสียงนกหวีดแรกของศึก ‘เอลกลาสิโก’ จะดังขึ้น
แต่เมื่อเสียงนกหวีดสุดท้ายสิ้นสุดลง สิ่งที่เราและผู้ชมหลายล้านคนทั่วโลกได้เห็นคือภาพความปราชัยอย่างย่อยยับของเหล่าขุนพลโลส เมเรนเกส เมื่อถูกเหล่านักเตะอาซูลกรานากรีธาทัพไล่ต้อนอย่างหมดสภาพถึง 4-0
เป็นอันยุติการชนะต่อเนื่องในกลาสิโก 5 นัด รวมถึง 2 นัดในฤดูกาลนี้ที่มีโอกาสพบกันของเรอัล มาดริด
ในเชิงของเกมฟุตบอลแล้วผลการแพ้ชนะนั้นมีโอกาสเกิดขึ้นเท่าๆ กัน ไม่ใช่เรื่องแปลก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อเกมฟุตบอลในระดับสูงที่บางครั้งการวางหมากในบางรายละเอียดสามารถที่จะช่วงชิงความได้เปรียบทำให้ทีมสามารถคว้าชัยชนะที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาดได้
เกมนี้ก็เช่นกันครับ แม้ว่ามาดริดจะเป็นเจ้าบ้านที่ได้ลงแข่งเอลกลาสิโก ในลาลีกา ใต้หลังคาของสนามที่ปรับปรุงโฉมใหม่สุดยิ่งใหญ่อลังการ เพียงแต่บาร์ซาภายใต้การนำของ ชาบี เอร์นานเดซ คือทีมที่ทำได้ดีกว่าตลอดทั้งเกมและตลอดทุกจุดทุกแดนในสนาม
แม้ว่าปกติกุนซือวัย 42 ปีจะเป็นคนสุภาพ แต่การให้สัมภาษณ์หลังจบเกมว่า “น่าจะยิงได้ถึง 5-6 ลูก” ก็ถือว่าเป็นคำตอบที่ค่อนข้างมั่นใจทีเดียว
ส่วนตัวผมเองไม่มีอะไรจะคัดค้านครับ บาร์ซาวันนี้มาดีอย่างเหลือเชื่อและความจริงหากกองหน้าจะคมยิ่งกว่านี้บางทีสกอร์ 5-6 ลูก หรืออย่างน้อย 4 ลูกอาจจะเกิดขึ้นตั้งแต่ครึ่งเวลาแรกมากกว่าจะหยุดแค่ 2-0 จากประตูของ ปิแอร์ เอเมอริก โอบาเมยอง และ โรนัลด์ อาเราโฮ
แต่ตรงนั้นไม่ใช่เรื่องน่ากังวลนักเมื่อมองเห็นระบบ รูปแบบ และสไตล์ของบาร์ซาภายใต้การนำของชาบี ซึ่งเริ่มพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาคือของจริง
บาร์ซายุคนี้ยังไม่ถึงกับเล่นได้เนียนตาเหมือนในยุคที่ชาบียังเป็นห้องเครื่องและหัวใจในระบบ Tiki-Taka เมื่อ 10 ปีก่อน แต่รูปแบบการเล่นที่หลากหลาย มีทั้งบอลสั้นและบอลยาว ไปจนถึงความนิ่ง การคุมจังหวะ (ของ เซร์คิโอ บุสเกตส์ ที่กลับมาสุดยอดอีกครั้ง) และการจู่โจมที่รวดเร็วสายฟ้าแลบของ 3 ประสานแดนหน้า มันมากกว่าที่เรอัล มาดริดจะรับมือไหว
แม้กระทั่งในช่วงก่อนจะเสียประตูแรก ก็พอมองเห็นเค้าลางได้ว่าบาร์ซามีช่องทางจะเล่นงานคู่แค้นตลอดกาลได้ไม่ยากในเกมนี้เพราะแนวรับของมาดริดไม่สามารถหยุดเกมริมเส้นทั้งฝั่งขวาซึ่งมี อุสมาน เดมเบเล ขบถลูกหนังที่ยังได้รับความไว้วางใจจากชาบีแม้จะมีปัญหาเรื่องสัญญาและการย้ายทีม และฝั่งซ้ายซึ่งมี เฟร์ราน ตอร์เรส
อีกคนที่สำคัญคือโอบาเมยอง กองหน้าที่เหมือนจะหมดไฟไปแล้วจากช่วงท้ายที่มีปัญหากับอาร์เซนอล แต่เมื่อได้ย้ายมาบาร์ซาก็กลับมาคืนฟอร์มเก่งและยิงไปแล้วถึง 8 ประตูด้วยกัน และ 2 ในนั้นเกิดขึ้นที่เบร์นาเบวเมื่อคืนนี้
Hello from the finished player 🔵🔴
💪🏽 pic.twitter.com/MUPmsznoup— AUBA⚡️ (@Auba) March 21, 2022
ดาวยิงชาวกาบองยังเป็นผู้ทำประตูในเกมสำคัญให้บาร์ซาตลอดระยะเวลาไม่ถึง 2 เดือนที่ผ่านมา โดยวันแจ้งเกิดของเขาในเกมแรกที่ลงเล่นให้ทีมคือการลงเป็นตัวสำรองและทำประตูให้ทีมเอาชนะแชมป์เก่าแอตเลติโก มาดริด เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นการสัมผัสบอลจังหวะแรกในรอบเกือบ 2 เดือนของเขา
หลังจากนั้นก็ลงมาเป็นซูเปอร์ซับในเกมดาร์บีแห่งแคว้นคาตาลัน ที่ทำให้ทีมเอาชนะเอสปันญอลได้ และอีกครั้งในการพบกับนาโปลีในศึกยูโรปาลีก
สำหรับกองหน้าที่เดิมพันตัวเองด้วยการขอแตกหักกับอาร์เซนอล ยอมลดค่าเหนื่อยลงมหาศาลเพื่อที่จะรอโอกาสกับทีมดีๆ สักทีมที่เหมาะสมกับเขา สุดท้ายการเลือกมาบาร์ซาก็กลายเป็นทางออกที่สวยงามสำหรับทั้งสองฝ่าย
ที่แสบสันคือหลังจบเกม ‘โอบา’ ได้โพสต์ภาพท่าฉลองประตูของตัวเองที่นำมาจากอนิเมะดังขวัญใจเด็กๆ (และเด็กโข่ง) ทั้งโลกอย่างดราก้อนบอล พร้อมกับข้อความว่า “นี่คือคำทักทายจากนักเตะที่แก่เกินแกงแล้ว”
และหากเรามองให้ลึกลงไป 3 กองหน้าของบาร์ซาเมื่อคืนนี้จะพบว่าทั้ง 3 ต่างก็เป็นคนที่ไม่เป็นที่ต้องการมาก่อนทั้งสิ้น เพราะนอกจากโอบาเมยองแล้ว ก็มีเดมเบเลซึ่งก่อนหน้านี้ทุกคนหมดหวังกับสตาร์ค่าตัวมหาศาลคนนี้แล้ว เฟร์ราน ตอร์เรส ก็เป็นอีกคนที่ล้มเหลวกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้เช่นกัน
เพียงแต่ชาบีสามารถนำทั้ง 3 คนมาขัดสีฉวีวรรณใหม่จนเปล่งประกายได้อีกครั้ง ซึ่งนับว่าเป็นผลงานที่น่าเหลือเชื่อ
สิ่งนี้ตรงข้ามกับเรอัล มาดริดที่อาจจะเริ่มฉุกคิดว่าตลอดมาพวกเขาพึ่งพากองหน้าวัย 34 ปีอย่าง คาริม เบนเซมา มากเกินไปหรือไม่ เพราะการขาดหายไปของดาวยิงทีมชาติฝรั่งเศสเพียงคนเดียวดูเหมือนจะกลายเป็นหนึ่งในจุดเปลี่ยนของเกมตั้งแต่ยังไม่ทันลงสนาม
บางทีหากมีเบนเซมาอยู่ โอกาสขึ้นเกมของมาดริดอาจจะมีทีเด็ดที่คาดไม่ถึง และอาจจะสามารถกดดันคู่เซ็นเตอร์อย่าง เอริค การ์เซีย และ เคราร์ด ปิเก้ ที่กลายเป็นเล่นสบายในการรับมือ โรดริโก และ วินิเชียส จูเนียร์ ที่แม้จะโดดเด่นตลอดปีแต่เกมนี้พวกเขาถูกทำให้กลายเป็นแค่เด็กดาวรุ่งคนหนึ่ง
แต่เมื่อเวลาย้อนกลับไปไม่ได้ ก็ไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับ คาร์โล อันเชล็อตติ ที่จะคิดย้อนกลับไป และแน่นอนว่าสิ่งที่พวกเขาจะทำคือการเดินหน้าเก็บแต้มและรีบคว้าแชมป์ลาลีกาให้ได้ไวที่สุด และด้วยระยะห่าง 9 แต้มเหนือเซบียารองจ่าฝูง และ 12 แต้มเหนือบาร์ซาทีมอันดับ 3 ที่ลงแข่งน้อยกว่า 1 นัด ทุกอย่างยังอยู่ในการควบคุม
ดังนั้นต่อให้แพ้วันนี้แต่พวกเขาก็อาจจะเป็นผู้ชนะในบั้นปลายฤดูกาล
อย่างไรก็ดี ผมชอบความมั่นใจของชาบีที่บอกว่า “ถ้าเรายังมีโอกาสเล็กๆ ที่จะได้ลุ้นแชมป์ เราก็จะพยายามจนถึงที่สุด มันอาจจะยากมากแต่ในเกมฟุตบอลทุกอย่างสามารถเกิดขึ้นได้”
เมื่อคิดถึงบาร์ซาในวันที่พวกเขาไม่มีปัญญาจะต่อสัญญากับ ลิโอเนล เมสซี และผลงานตกต่ำดำดิ่งในช่วงต้นฤดูกาลที่ โรนัลด์ คูมัน ยังคุมทีมอยู่
กับวันนี้ที่ได้ฮีโร่ของสโมสรอย่างชาบีกลับมากอบกู้ทีม ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงจากทีมที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าให้กลับมาเป็นทีมที่มีความสุขและมีความหวังอีกครั้ง โดยมี โจน ลาปอร์ตา ที่พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อนำพาสโมสรให้รอดพ้นจากวิกฤตการณ์ครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ ต่อให้ต้องบากหน้าทำอะไรก็ยอม
ย้ำว่าบาร์ซายังเล่นไม่ถึงกับสวย และตัวที่มีก็ไม่ได้นักฟุตบอลที่ดีที่สุดของโลกเหมือนในอดีต เพียงแต่พวกเขาได้ทีมที่ดีพอจะเล่นฟุตบอลในแบบที่ชาบีต้องการได้แล้ว และนักเตะเองก็เริ่มเข้าใจในสิ่งที่นายใหญ่ต้องการแล้วเช่นกัน
ภาพสะท้อนนั้นคือการต่อบอลกันไปมาของ เปดรี และ กาบี 2 สตาร์ดาวรุ่งในแดนกลางที่เป็นอนาคตที่สดใสที่สุดสำหรับบาร์ซาในวันข้างหน้า โดยมีเสียงเฮ ‘Ole’ ของแฟนๆ ในเบร์นาเบวเป็นลูกคู่ที่กรีดหัวใจมาดริดิสตาในเบร์นาเบว
การลุ้นแชมป์ของบาร์ซาอาจจะเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะทีมของชาบีก็ยังไม่ ‘เสถียร’ หรือยอดเยี่ยมเท่ายุคของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา
แต่ขั้นต่ำที่สุดจากที่เห็นและเป็นอยู่ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา หากชาบีและลูกทีมของเขาจะบอกว่า “บาร์ซากลับมาแล้ว”
ผมคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องที่เกินเลยไปจากความเป็นจริงนัก และฤดูกาลหน้าสนุกแน่นอน
- เกมต่อไปบาร์ซาจะรับมือเซบียา ทีมรองจ่าฝูงพอดี ขณะที่โปรแกรมช่วงที่เหลือนั้นมีเกมหนักไม่มากนัก
- เรอัล มาดริดจะต้องเจอกับเซบียา และแอตเลติโก มาดริด ซึ่งเป็นเกมเยือนทั้งสองนัด
- ชาบี เอร์นานเดซ ได้รับสมญาในสมัยเป็นนักฟุตบอลว่า ‘คนเชิดหุ่น’ (Puppet Master)